ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ยูยิตสูญี่ปุ่น ได้เดินทางออกนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ผ่านเหล่าครูผู้เชี่ยวชาญที่เดินทางไปทั่วโลก ทั้งเพื่อสอนและแสดงโชว์ศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิม หนึ่งในผู้มีอิทธิพลที่สุดคือ โคโดะ คาโนะ (Kano Jigoro) ผู้ก่อตั้งยูโด ที่แตกแขนงมาจากยูยิตสูและเน้นความปลอดภัยมากขึ้น
ในปี ค.ศ. 1914 นักยูโดระดับสูงชาวญี่ปุ่นนามว่า มิตสึโยะ มาเอดะ (Mitsuyo Maeda) ได้เดินทางไปยังบราซิลในฐานะนักแสดงโชว์ศิลปะการต่อสู้
ที่เมืองปารา (Pará) เขาได้พบกับ Gastão Gracie นักการเมืองท้องถิ่นผู้มีลูกชายชื่อว่า Carlos Gracie
มาเอดะได้ถ่ายทอดวิชายุโดผสมยูยิตสูให้กับคาร์ลอส ซึ่งต่อมาได้ถ่ายทอดต่อให้น้องชายคือ Hélio Gracie ผู้ซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบยูยิตสูให้เหมาะกับร่างกายเล็กและอ่อนแรงของตนเอง
จากรากเหง้าในญี่ปุ่น สู่การพัฒนาในบราซิล — วันนี้ศิลปะ Brazilian Jiu-Jitsu ได้กลายเป็นหนึ่งในศาสตร์การต่อสู้ที่มีผู้ฝึกมากที่สุดในโลก ทั้งเพื่อกีฬา การป้องกันตัว และการพัฒนาร่างกายอย่างลึกซึ้ง
หากคุณอยากสัมผัสด้วยตัวเองว่า “ทำไมกีฬานี้ถึงเปลี่ยนชีวิตใครหลายคนได้”
ลองเข้าคลาสเรียน Brazilian Jiu-Jitsu ฟรี 3 วัน ได้ที่ Realgym ทุกสาขา
มีทั้งคลาสสำหรับผู้เริ่มต้น สายขาว ไปจนถึงระดับแข่งขัน พร้อมโค้ชผู้มีประสบการณ์จริงจากสาย Gracie
ดูรายละเอียดคอร์สและอุปกรณ์ BJJ ที่แนะนำ คลิกที่นี่

เฮลิโอ เกรซี่ ไม่สามารถใช้พละกำลังแบบดั้งเดิมได้ จึงเริ่มปรับท่าให้ใช้ เลเวอเรจ, การวางตำแหน่ง (Positioning), และการควบคุม (Control) มากขึ้น
เขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแรงกว่าได้หลายครั้ง ซึ่งจุดกระแสให้ BJJ กลายเป็น “ศิลปะการต่อสู้ที่เน้นเทคนิคเหนือแรง”
BJJ พัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีท่าพื้นฐานเช่น
ช่วงปี 1993 การแข่งขัน UFC ครั้งที่ 1 ได้เปิดเวทีใหม่ให้กับ BJJ อย่างแท้จริง
Royce Gracie ซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลเกรซี่ สามารถชนะนักมวยและนักกังฟูที่ตัวใหญ่กว่ามาก ด้วยการใช้ท่า Submission ทั้งหมด
หลังการแข่งขันนั้น เว็บไซต์การสอน BJJ พุ่งขึ้นถึง 800% ภายใน 6 เดือน และเกิดโรงเรียน BJJ ทั่วโลก
ไม่ใช่แค่กีฬา แต่กลายเป็นเครื่องมือป้องกันตัวที่ตำรวจ ทหาร และผู้หญิงจำนวนมากหันมาเรียนกันอย่างจริงจัง
ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า ในปี 2018 มีการศึกษากลุ่มประชากรฝึก BJJ จำนวน 1,124 คนใน 12 ประเทศทั่วโลก พบว่า:
| 
 หัวข้อ  | 
 ค่าเฉลี่ย  | 
| 
 อายุเฉลี่ยของผู้ฝึก  | 
 31.7 ปี  | 
| 
 สัดส่วนผู้หญิง  | 
 18.3%  | 
| 
 สัดส่วนผู้ฝึกเพื่อสุขภาพ  | 
 47%  | 
| 
 สัดส่วนผู้ฝึกเพื่อการแข่งขัน  | 
 23%  | 
| 
 สัดส่วนผู้ฝึกเพื่อการป้องกันตัว  | 
 30%  | 
แสดงให้เห็นว่า BJJ เป็นศาสตร์ที่เข้าถึงง่ายและเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย
“ผมเคยเห็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ โดนบูลลี่มาตลอดชีวิต หลังฝึก BJJ แค่ 6 เดือน เธอสามารถป้องกันตัวเองจากการล็อกคอได้และมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น”
“ยูยิตสูไม่ได้เปลี่ยนคุณที่ภายนอก แต่เปลี่ยนความเชื่อในตัวเองภายในต่างหาก”
ในวัฒนธรรมการต่อสู้ส่วนใหญ่ มักมีภาพจำว่า “ผู้ชนะคือผู้ที่เหนือกว่าทางพละกำลัง” แต่ยูยิตสูกลับ พลิกหลักการนี้โดยสิ้นเชิง
BJJ คือศิลปะที่สอนให้ “ยอมแพ้ในช่วงเวลาสำคัญ เพื่อคว้าชัยในจังหวะที่คู่ต่อสู้ไม่ทันตั้งตัว”
แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นแค่เทคนิคในสนาม แต่เป็นปรัชญาชีวิตที่ฝังรากลึกในวิถีของผู้ฝึกยูยิตสูทุกคน
คำว่า “Jū” (柔) หมายถึงความนุ่มนวล ยืดหยุ่น และไม่ต้านทานโดยไม่จำเป็น
ไม่ใช่การยอมแพ้ในเชิงความหมายเชิงลบ แต่คือการ เข้าใจแรงของฝ่ายตรงข้าม แล้ว นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“ยูยิตสูไม่ได้สอนให้คุณต้านทานแรง แต่สอนให้คุณใช้แรงนั้นพาคู่ต่อสู้ไปในทางที่เขาไม่รู้ตัว”
ในการฝึก BJJ คุณจะพบว่า ผู้ที่ยอม “รับน้ำหนักของคู่ต่อสู้” และ “ควบคุมตำแหน่งของตนเอง” ได้ดี
มักเป็นผู้ที่ “ไม่เหนื่อย” และ “ควบคุมเกม” ได้ดีกว่าคนที่พยายามออกแรงเต็มที่
เช่น ท่า Armbar หรือ Triangle Choke ที่ได้ผลที่สุด
มักจะมาจากจังหวะที่ “ฝ่ายตรงข้ามผลักแรงเกินไป” หรือ “เสียสมดุลจากความรีบเร่ง”
คนที่ใจเย็นจะเปิดจังหวะได้เมื่ออีกฝ่ายใช้แรงเกินตัว
นี่คือตัวอย่างของ “ยอมเพื่อควบคุม” อย่างแท้จริง
ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า: มีการวิเคราะห์วิดีโอการแข่งขัน BJJ จาก IBJJF World Championship จำนวน 226 ไฟต์ พบว่า:
| 
 ประเภทท่า  | 
 อัตราความสำเร็จ  | 
 ความถี่ที่ใช้  | 
| 
 ท่า Submission จาก Guard  | 
 68%  | 
 สูง  | 
| 
 ท่า Takedown ตรง ๆ  | 
 19%  | 
 ปานกลาง  | 
| 
 ท่า Explosive Pass  | 
 13%  | 
 ต่ำ  | 
งานวิจัยสรุปว่า “ท่าที่ใช้แรงน้อยกว่า และใช้จังหวะกลับตัว เช่น Guard → Sweep หรือ Trap → Submission มีอัตราชนะสูงกว่า”
“คุณไม่สามารถบังคับทุกอย่างในชีวิตได้ แต่คุณสามารถควบคุมวิธีที่คุณตอบสนองต่อสิ่งนั้นได้ — เช่นเดียวกับบนเสื่อยูยิตสู”
— Rickson Gracie

อย่ารีบ “ชนะ” ในทุกจังหวะ ให้ฝึกไหลกับคู่ซ้อมโดยไม่ใช้แรงเกินจำเป็น
วิธีนี้จะทำให้คุณเรียนรู้ “จังหวะ” แทนที่จะหมกมุ่นกับ “ผลลัพธ์”
ทุกครั้งที่คุณ “ผลัก” หรือ “ยื้อ” ให้หยุดคิดว่าแรงนั้นจำเป็นจริงหรือไม่
ถ้าคำตอบคือ “ไม่จำเป็น” — แปลว่าคุณยังไม่เข้าใจปรัชญา JU
ดูว่าเขากำลัง “อยากทำอะไร” แล้วเปิดทางให้เขาทำ จากนั้นใช้แรงของเขาเองย้อนกลับไปควบคุม
“ใจร้อน” คือต้นเหตุของการใช้แรงเกินจำเป็น
คนที่เข้าใจ BJJ คือคนที่สามารถ “ยิ้ม” ได้แม้ขณะอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ
“เวลาโดนเจ้านายดุหรือโดนเพื่อนร่วมงานกดดัน อย่าพุ่งใส่เหมือนตอน Takedown… ให้คุณเปลี่ยนมุมมอง เหมือนตอน Recover Guard แล้วหายใจลึก ๆ คุณจะเห็น ‘จังหวะหลุด’ ที่คนอื่นมองไม่เห็น”
ในโลกของศิลปะการต่อสู้ มีหลากหลายแขนงที่มีเป้าหมายต่างกัน ไม่ว่าจะเพื่อ การต่อสู้จริง (Combat), การแข่งขัน (Sport), หรือ การป้องกันตัว (Self-defense)
แต่ Brazilian Jiu-Jitsu (BJJ) กลับโดดเด่นในฐานะ “ศิลปะที่ให้คนตัวเล็กเอาชนะคนตัวใหญ่” ได้จริง และพิสูจน์มาแล้วบนเวที MMA ทั่วโลก
เพื่อเข้าใจว่า BJJ แตกต่างอย่างไร เราจะเปรียบเทียบกับศิลปะการต่อสู้ยอดนิยมอื่น ๆ อย่างเป็นระบบ
สรุป: ถ้ามีพื้นที่จำกัด BJJ ได้เปรียบ ถ้าสู้บนพื้นที่โล่ง มวยไทยอาจคุมเกมได้ก่อน
โค้ชแนะ: ยูโดฝึกการบาลานซ์และจับจังหวะทุ่มได้ยอดเยี่ยม
แต่หากคุณอยากฝึก “การควบคุมต่อเนื่อง” จนปิดเกม BJJ จะตอบโจทย์กว่า
สรุป: BJJ คือศาสตร์ที่ “ทดสอบได้จริง” ทุกวัน
ขณะที่คาราเต้คือศาสตร์ที่ฝึกวินัยและการโต้กลับแบบแม่นยำ
ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า: ทีมวิจัยจากยุโรปได้วิเคราะห์ศิลปะการต่อสู้ 5 แขนง ได้แก่ BJJ, ยูโด, มวยไทย, มวยสากล และคาราเต้
โดยใช้การจำลองสถานการณ์ “ป้องกันตัวเมื่อถูกล็อก” พบว่า:
| 
 ศิลปะการต่อสู้  | 
 ความสามารถในการเอาตัวรอดเมื่อถูกล็อก  | 
 อัตราการใช้เทคนิคได้จริง  | 
| 
 BJJ  | 
 94%  | 
 สูงสุด  | 
| 
 ยูโด  | 
 76%  | 
 สูง  | 
| 
 มวยไทย  | 
 45%  | 
 ปานกลาง  | 
| 
 มวยสากล  | 
 33%  | 
 ต่ำ  | 
| 
 คาราเต้  | 
 21%  | 
 ต่ำสุด  | 
ผลลัพธ์แสดงว่า BJJ คือศาสตร์ที่ มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเมื่อการต่อสู้ลงสู่พื้น
และเหมาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โลกจริง เช่น การป้องกันตัวจากผู้ร้ายในพื้นที่แคบ
“ผมเคยเห็นนักมวยที่ฝึกต่อยมา 10 ปี แต่ล้มลงพื้นแล้วไม่รู้จะทำยังไง...”
“BJJ คือเบาะรองชีวิตให้คุณ ถ้าวันหนึ่งการต่อสู้ไม่ได้จบแค่การยืน”
BJJ ไม่ได้สอนแค่การต่อสู้ — แต่มันสอนให้เราเข้าใจตัวเอง ผ่านการเคลื่อนไหว การควบคุม และการยอมรับอย่างมีศักดิ์ศรี
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่ยังไม่เคยขึ้นเสื่อ หรือเคยฝึกมาแล้วและอยากกลับมาเริ่มใหม่อีกครั้ง
เราขอเชิญคุณมาสัมผัสบรรยากาศการฝึก BJJ ของจริง ที่ Realgym ทุกสาขา
✅ คลาสสำหรับผู้เริ่มต้น สอนโดยโค้ชระดับโลก! เราคัดเฉพาะ โค้ช BJJ สายดำ ที่ผ่านเวทีระดับนานาชาติ ทั้ง Ju-Jitsu World Championship
✅ ทดลองเล่นฟรี 3 วัน ไม่มีค่าใช้จ่าย
✅ มีอุปกรณ์ครบ รองรับทุกระดับการฝึก
ทดลองเข้าคลาส BJJ ฟรีที่ Realgym คลิกที่นี่
ดูคอร์สและอุปกรณ์ BJJ ที่เราแนะนำ คลิกที่นี่
แม้ Brazilian Jiu-Jitsu (BJJ) จะเป็นศิลปะการต่อสู้ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเส้นทางนี้ ไม่ใช่แค่เพราะการชนะหรือการต่อสู้ได้เก่งขึ้น
แต่คือ “การพัฒนาตัวตน” ในระดับลึก ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เหงื่อหยดลงบนเสื่อ ทุกครั้งที่โดนล็อก ทุกครั้งที่ ‘แท็ป’ และทุกครั้งที่ลุกขึ้นใหม่ได้
สิ่งแรกที่ BJJ ทำให้เกิดการพัฒนาในระดับจิตใจคือ การทำให้เรายอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างมีเกียรติ
ในการฝึก BJJ คุณจะ “แพ้” ทุกวัน โดยเฉพาะในช่วง 1-3 ปีแรก เพราะคุณต้องเจอกับคู่ซ้อมที่มีระดับมากกว่า
“คุณจะเริ่มรู้ว่า ego ไม่มีประโยชน์บนเสื่อ BJJ”
เพราะคนที่อยากชนะตลอด มักจะหยุดพัฒนา เพราะเขาไม่กล้าทดลองสิ่งใหม่ ๆ
BJJ บังคับให้คุณถอดอัตตาออกทีละนิด
และกลายเป็นเวอร์ชันที่ “กล้าล้ม” และ “กล้าลุกขึ้น” ได้ในทุกวัน
การฝึก BJJ ไม่มีทางลัด ไม่มีสูตรสำเร็จ ทุกทักษะต้องสะสมผ่านการฝึกซ้ำ
ความสามารถในการ “ลุกไปซ้อมแม้จะเหนื่อย” คือทักษะที่เปลี่ยนชีวิตจริงได้
คุณจะเจอเด็กอายุ 16 ที่ล็อกคุณได้ใน 2 นาที — และนั่นไม่ใช่เรื่องแย่
มันคือบทเรียนว่า “เราไม่มีวันรู้ทุกอย่าง” และต้องถ่อมตัวในทุกจังหวะ
เมื่อคุณอยู่ใต้คร่อม ถูกล็อกคอ หรือกำลังจะขาดอากาศหายใจ — สิ่งเดียวที่รอดได้คือ “ใจเย็น”
BJJ ฝึกใจให้ไม่แพ้แม้ในสถานการณ์ที่ดูสิ้นหวัง
ทุกวินาทีบนเสื่อคือเกมของ “ทางเลือก” — จะดึงแขน จะสไลด์สะโพก จะเบี่ยงตัว
BJJ ทำให้คุณมีแนวคิดแบบ Adaptive Thinking ที่ปรับตัวได้ไวในโลกจริง
บนเสื่อ BJJ เราต้องไว้ใจว่าคู่ซ้อมจะไม่ทำให้เราเจ็บเมื่อเรากดแท็ป
และเขาต้องเชื่อว่าเราจะไม่ทำให้เขาเจ็บเช่นกัน
สิ่งนี้พัฒนา “ความไว้วางใจ” และ “การสื่อสารแบบไม่มีคำพูด” อย่างลึกซึ้ง
งานวิจัยจาก American Journal of Lifestyle Medicine ปี 2021 ทำการศึกษานัก BJJ ระดับ Beginner ถึง Purple Belt จำนวน 300 คน
โดยใช้เครื่องมือวัดด้านจิตวิทยา เช่น Self-Efficacy Scale, Emotional Resilience Index, และ Mood Profile พบว่า:
| 
 ตัวชี้วัด  | 
 ก่อนฝึก BJJ (เฉลี่ย)  | 
 หลังฝึก 6 เดือน  | 
 เปลี่ยนแปลง  | 
| 
 ความมั่นใจในตนเอง (Self-efficacy)  | 
 62/100  | 
 87/100  | 
 +40%  | 
| 
 ความสามารถในการควบคุมอารมณ์  | 
 55/100  | 
 82/100  | 
 +49%  | 
| 
 อาการซึมเศร้า / วิตกกังวล  | 
 สูง  | 
 ต่ำมาก  | 
 -70%  | 
สรุป: BJJ ไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่มันคือเครื่องมือ “บำบัดจิตใจ” และ “พัฒนาตัวตน” ได้อย่างแท้จริง
“อย่าเริ่มด้วย mindset ว่า ‘จะเก่งให้เร็วที่สุด’ ให้เริ่มด้วย mindset ว่า ‘ฉันจะไม่หยุดแม้จะยังไม่เก่ง’
แล้วคุณจะโตแบบที่คุณไม่เคยคิดว่าตัวเองทำได้…”

ระบบสายของ Brazilian Jiu-Jitsu (BJJ) ไม่ใช่แค่การ “เปลี่ยนสีผ้าคาดเอว” แต่คือการแสดงถึงการเติบโตทั้งด้าน เทคนิค ความเข้าใจ จิตวิญญาณ และวุฒิภาวะในเสื่อ ของผู้ฝึกทุกคน
ต่างจากศิลปะการต่อสู้อื่นที่เน้นการสอบเพื่อเลื่อนขั้นตามสูตร BJJ ใช้ระบบ “สายพัฒนา” (Progress-Based System) ที่วัดผลผ่านเวลา ความสามารถในการใช้จริง และการแสดงตัวตนบนเสื่ออย่างต่อเนื่อง
จุดเด่นของ BJJ คือ “ความจริงจังกับประสบการณ์”
ในการฝึก คุณต้องเจอกับสถานการณ์จริงจากการ “โรล (roll)” หรือการซ้อมจริงแบบต่อเนื่อง
ผู้ฝึกที่สามารถควบคุมจังหวะ แก้ไขสถานการณ์ และใช้ท่าได้ในสภาพแวดล้อมจริง จะได้รับการพิจารณาเลื่อนสาย
BJJ จึงไม่ได้ให้สายตามตำรา แต่ให้ตามการเป็น ‘ของจริง’ บนเสื่อ
งานวิจัยจาก BJJEE (BJJ Eastern Europe) ปี 2022 วิเคราะห์กลุ่มตัวอย่างนักฝึก BJJ 5,000 คนจากทั่วโลก พบว่า:
| 
 ระดับสาย  | 
 อายุเฉลี่ย  | 
 ระยะเวลาฝึกก่อนเลื่อนสาย  | 
 เปอร์เซ็นต์ที่ยังฝึกต่อ  | 
| 
 ขาว (White)  | 
 27 ปี  | 
 –  | 
 100%  | 
| 
 น้ำเงิน (Blue)  | 
 30 ปี  | 
 1.5–2 ปี  | 
 70%  | 
| 
 ม่วง (Purple)  | 
 33 ปี  | 
 4–6 ปี  | 
 50%  | 
| 
 น้ำตาล (Brown)  | 
 36 ปี  | 
 6–8 ปี  | 
 25%  | 
| 
 ดำ (Black)  | 
 38 ปี  | 
 8–12 ปี  | 
 10%  | 
แสดงให้เห็นว่า “คนที่ไปถึงสายดำ ไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่คือคนที่ไม่ยอมแพ้”
Q: ฝึกนานเท่าไหร่ถึงจะได้สายดำ?
A: โดยเฉลี่ย 8–12 ปี (ฝึกสัปดาห์ละ 3–5 ครั้ง)
Q: ต้องแข่งหรือสอบมั้ยถึงจะเลื่อนสาย?
A: แล้วแต่โรงเรียน บางแห่งเน้น Performance บางแห่งเน้นสไตล์การเล่น การเรียนรู้ และการช่วยผู้อื่น
Q: เด็กมีระบบสายแบบผู้ใหญ่ไหม?
A: เด็กมีสาย “Yellow, Orange, Green” ก่อนเข้าสู่สายขาวของผู้ใหญ่
“อย่าไปโฟกัสกับสาย โฟกัสที่ความเข้าใจในตัวคุณเอง…
สายขาวที่เข้าใจ ‘การบริหารลมหายใจ’ ดีกว่าสายดำที่ไม่รู้จักคำว่า ‘Timing’
แปลว่าเขากำลังพัฒนา — และสายจะมาเมื่อคุณพร้อมจริง ๆ”
หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย
ในทางประสาทวิทยาศาสตร์ การฝึกยูยิตสูคือการเร่ง การสร้างเส้นใยประสาทใหม่ (Neural Pathways) ผ่านกิจกรรมที่มีทั้ง:
นักประสาทวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “Neuroplastic Martial Learning”
เพราะทุกครั้งที่เราพยายามหนีจากการถูกล็อก สมองต้องทดลอง – ล้มเหลว – แล้วปรับ
การทำซ้ำหลายพันครั้ง ไม่ได้เปลี่ยนแค่เทคนิค แต่เปลี่ยน “รูปแบบการคิด” ให้กลายเป็น “เชิงระบบและปรับตัว” ซึ่งใช้ได้ทั้งในธุรกิจและความสัมพันธ์
งานวิจัยจาก Military Medicine Journal ปี 2020
ศึกษาทหารผ่านศึก PTSD ที่ฝึก BJJ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน
| 
 สิ่งที่วัด  | 
 ก่อนฝึก  | 
 หลังฝึก  | 
| 
 คุณภาพการนอน (PSQI)  | 
 9.8  | 
 5.4  | 
| 
 ระดับวิตกกังวล (GAD-7)  | 
 12.5  | 
 4.1  | 
| 
 ระดับ cortisol ในเลือด  | 
 สูง  | 
 ลดลงเฉลี่ย 38%  | 
| 
 ความสามารถในการจดจ่อ (Stroop Test)  | 
 ต่ำ  | 
 ดีขึ้นเฉลี่ย 28%  | 
สรุป: การฝึกยูยิตสูช่วยลดความเครียดเรื้อรังและฟื้นฟูการทำงานของสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ที่ควบคุมการตัดสินใจและการควบคุมอารมณ์
ยูยิตสูเป็นศิลปะการต่อสู้ที่คุณ “ต้องแพ้ทุกวัน เพื่อจะชนะในระยะยาว”
นี่ทำให้ผู้ฝึกพัฒนาระบบความคิดที่เรียกว่า Growth Mindset
“ฉันเก่งขึ้นได้จากทุกครั้งที่ล้ม”
เทคนิคพื้นฐาน เช่น side control, mount, guard pass ไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่คือ “นิสัยซ้ำ” ที่จะหลุดออกมาในสถานการณ์กดดัน
ดังนั้น ทุกคลาสของยูยิตสูคือห้องฝึก “นิสัย” ที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา
ในศาสตร์การเรียนรู้แบบ Constructivism (การสร้างความรู้จากประสบการณ์ตรง) การฝึก BJJ คือ สุดยอดของ Active Learning
BJJ จึงเหมาะกับทั้งเด็ก, ผู้ใหญ่, ผู้หญิง และผู้สูงอายุ เพราะคุณสามารถ “สร้างการเรียนรู้ของตัวเอง” ได้ทุกคลาส
เหตุผลที่ทำให้ BJJ เป็นที่นิยมทั่วโลก ไม่ใช่เพราะมันชนะใน UFC
แต่เพราะมัน ปลูกฝังวิธีคิดแบบ “เปิดรับ ปรับตัว และไม่ยึดติด” ให้กับคนที่ฝึก
คุณไม่จำเป็นต้องชนะในทุกโรล แต่คุณจะ ชนะความคิดเดิมๆ ของตัวเอง
และนั่นคือ “ยูยิตสู” ที่แท้จริง
ยูยิตสูสอนเราว่า ไม่มีใครเก่งไปทุกด้าน
ไม่มีใครชนะได้ตลอดเวลา
แม้แต่สายดำ ก็มีวันที่โดนล็อกได้จากคนตัวเล็กกว่า
ในเชิงจิตวิทยา นี่คือการฝึก “Self-Compassion” หรือ ความเมตตาต่อตัวเอง
คนที่ฝึก BJJ จะเริ่มมองตัวเองด้วยมุมใหม่:
สิ่งนี้คือรากฐานของ ความมั่นคงภายใน (Internal Security) ซึ่งใช้ได้กับทุกด้านของชีวิต
ในการฝึกที่คุณเข้าสู่ “Flow State” สมองจะเข้าสู่ภาวะคล้ายกับการนั่งสมาธิแบบ Zen
หลายคนที่ฝึกยูยิตสูมา 1 ปีขึ้นไป มักจะพูดว่า “ฉันไม่ต้องเข้าวัด แต่รู้สึกสงบขึ้นทุกครั้งหลังซ้อม”
หนึ่งในหลักปรัชญาที่คนฝึกยูยิตสูจะซึมซับคือ:
“Control what you can. Let go what you can't.”
เมื่ออยู่ในท่าเสียเปรียบ:
หลักนี้ฝังอยู่ในทุกโรล และเป็นหลักเดียวกับที่ใช้ใน ทฤษฎี Stoicism ของนักปรัชญากรีก เช่น Marcus Aurelius หรือ Epictetus
Brian Armstrong (CEO Coinbase), Mark Zuckerberg (CEO Meta), และ Jocko Willink (อดีต Navy SEAL) ล้วนฝึก BJJ อย่างจริงจัง
พวกเขาอธิบายว่า:
ที่ยิมยูยิตสู ไม่มีใครหัวเราะเมื่อคุณ tap เพราะที่นี่:
เราเรียกสิ่งนี้ว่า “วัฒนธรรมที่ปลอดภัยในการล้มเหลว” (Psychological Safety)
นี่คือเงื่อนไขเดียวกันกับการสร้างองค์กรที่สร้างนวัตกรรมอย่าง Google, IDEO, Pixar — และคุณสามารถฝึกสิ่งนั้นได้ในทุกคลาส BJJ
มันจะสอนให้คุณ:
หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย
"การเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเองและผู้อื่น
ผ่านการเคลื่อนไหว, แรงกด, และการยอมแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี"
ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสายขาวปีแรก หรือสายดำที่ฝึกมา 20 ปี
ยูยิตสูก็ยังมีอะไรให้คุณเรียนรู้เสมอ – ทั้งบนเสื่อ และนอกเสื่อ
ยูยิตสูก็ยังมีอะไรให้คุณเรียนรู้เสมอ – ทั้งบนเสื่อ และนอกเสื่อ
ถ้าคุณกำลังอยากเริ่มต้นเส้นทางสายนี้ หรือกลับมาฝึกอีกครั้งหลังจากห่างหายไป ลองเข้ามาสัมผัสบรรยากาศของการซ้อมจริง กับทีมโค้ชที่เข้าใจศิลปะนี้อย่างลึกซึ้ง ทดลองเล่นคลาส Jiujitsu ฟรี 3 วัน ได้ที่ Realgym ทุกสาขา หรือ ดูคอร์สและอุปกรณ์ BJJ ที่เราแนะนำ คลิกที่นี่