ยูยิตสู ท่าพื้นฐานที่มือใหม่ต้องรู้ พร้อมเทคนิคหนีเอาตัวรอดและฝึกให้เก่งเร็วขึ้นจริง
หากคุณเพิ่งก้าวเข้าสู่โลกของ ยูยิตสู หรือเคยได้ยินชื่อศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้ผ่านการแข่งขัน MMA หรือดูนักกีฬา BJJ ปล้ำกันอยู่บนเสื่อแล้วรู้สึกว่า "เฮ้ย มันดูซับซ้อนอะ เริ่มยังไงดี?" บทความนี้จะช่วยปูพื้นให้คุณเข้าใจแบบลึกและจริง พร้อมบอกแนวทางฝึกที่ใช้ได้ในชีวิตจริง
ยูยิตสู (Jujitsu / Jiu-Jitsu) คือศิลปะการต่อสู้ที่เน้นการจับล็อก รัดคอ และควบคุมร่างกายคู่ต่อสู้ โดยเฉพาะการสู้บนพื้น ท่าพื้นฐานของยูยิตสูนั้นไม่ได้แค่สอนให้คุณ "สู้" แต่สอนให้คุณใช้เทคนิคที่ชาญฉลาดและคานงัด (leverage) เอาชนะคู่ต่อสู้ที่อาจแข็งแรงกว่าคุณได้
ที่สำคัญกว่านั้นคือ มันคือทักษะชีวิต ที่ช่วยให้คุณเอาตัวรอดจากสถานการณ์อันตรายได้จริง ไม่ใช่แค่บนเวที แต่ในชีวิตประจำวัน เช่น การถูกผลัก ล้ม หรือโดนจับตัว คุณจะรู้ว่าควรพลิกสถานการณ์อย่างไร ไม่ต้องเก่ง ไม่ต้องแรงมาก แค่เข้าใจ “หลัก” และ “ท่า”
ในฐานะโค้ชที่เห็นคนเข้ายิมวันแรกแล้วรู้สึกเขิน ลังเล ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าท่าการ์ด บอกเลยว่า "มันไม่ยากถ้ามีคนแนะนำถูกจุด" และบทความนี้จะทำหน้าที่นั้นให้คุณเอง
หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย
5 เหตุผลที่ควรเรียนรู้ท่าพื้นฐานของยูยิตสูให้แน่นก่อนขึ้นขั้นสูง
- ท่าเบสิคคือเส้นเลือดของทุกเทคนิคที่ซับซ้อน
ผมเห็นนักเรียนหลายคนข้ามขั้นไปเรียน Berimbolo, Worm Guard หรือท่าซับซ้อนอื่นๆ แล้วเจอปัญหาทันที เพราะพวกเขายังไม่เข้าใจแม้แต่ท่า shrimping หรือการกดเข่าใน side control
- ท่าพื้นฐานช่วยลดการบาดเจ็บ
หากคุณฝึกโดยไม่เข้าใจจุดประสงค์ของท่า เช่น ทำท่า Armbar โดยไม่ขยับสะโพกให้ถูกตำแหน่ง แรงที่ส่งไปจะตกอยู่ที่ไหล่คุณเอง หรือยิ่งกว่านั้นคือข้อศอกของคู่ฝึก
- มันช่วยให้คุณเข้าใจ BJJ หรือยูยิตสูสายไหนก็ได้
ไม่ว่าคุณจะฝึกแบบญี่ปุ่นโบราณ (Koryu Jujutsu) หรือ BJJ สมัยใหม่ ท่าพื้นฐานยังคงเหมือนกัน เช่น การหลุดจากท่าคร่อม (mount escape) หรือการจัดวางตัวใน closed guard มันคือ “ภาษากลาง” ที่ทำให้คุณสามารถเรียนรู้ได้ทุกสาย
- ฝึกท่าพื้นฐานดี = ฝึกซ้ำจนเป็นสัญชาตญาณ
หลายคนมองข้ามจุดนี้ไป แต่โค้ชระดับโลกทุกคนล้วนบอกว่า “การฝึกพื้นฐานวันละนิด ดีกว่าฝึกท่าใหม่ทุกวันแล้วไม่แม่นอะไรเลย” ผมเห็นกับตาหลายครั้ง นักเรียนที่ทำ Shrimp 1,000 ครั้งแม่นยำกว่าคนที่ทำ 30 ท่าแต่ลอยๆ
- คุณจะเรียนรู้การควบคุมร่างกายตัวเองอย่างแท้จริง
ยูยิตสูสอนให้คุณใช้กล้ามเนื้อและน้ำหนักตัวให้เกิดประโยชน์ที่สุด เช่น ใช้น้ำหนักกดสะโพกให้คุมคู่ต่อสู้ใน Side Control หรือใช้แรงสะโพกพลิกกลับจาก Bottom guard สิ่งนี้คือการฝึกกล้ามเนื้อเชิงประสาน (coordination) ที่คุณนำไปใช้กับกีฬาชนิดอื่นได้ด้วย
สาระน่ารู้จากงานวิจัย
ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า
มีการศึกษากลุ่มผู้เริ่มต้นฝึก BJJ จำนวน 78 คนในระยะเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า ผู้ที่เน้นฝึกท่าพื้นฐาน เช่น ท่า escape และ positioning มีพัฒนาการในด้านการควบคุมคู่ต่อสู้และความมั่นใจในการป้องกันตัวสูงกว่ากลุ่มที่เน้นเรียนซับมิชชันท่าแปลกใหม่ถึง 45%
รายการที่วัดผล |
กลุ่มฝึกพื้นฐาน |
กลุ่มฝึกซับมิชชัน |
อัตราความสำเร็จในการหนีจาก mount |
82% |
54% |
ความมั่นใจในการโรลลิ่ง |
สูง |
ปานกลาง |
การเข้าใจลำดับท่าการ์ด |
88% |
60% |
การฝึกพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ยังมีผลต่อความเข้าใจเกมโดยรวม ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการแข่งขันและการเอาตัวรอด
สรุป
การเริ่มต้นยูยิตสูไม่จำเป็นต้องเท่ ไม่จำเป็นต้องเก่ง ขอแค่คุณ แม่นพื้นฐานก่อน แล้วทุกอย่างจะต่อยอดได้เอง บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักทุกท่าพื้นฐานที่จำเป็น ไล่ตั้งแต่ท่าการ์ด การพลิกกลับ การหนีจากตำแหน่งเสียเปรียบ ไปจนถึงการรัดคอแบบปลอดภัย และผมจะช่วยอธิบายมันเหมือนรุ่นพี่คนหนึ่งที่อยากให้คุณรอดจากทุกสถานการณ์
ท่าเบสิคในยูยิตสูที่ทุกคนต้องเริ่มจากตรงนี้ก่อน
การจะเข้าใจยูยิตสูให้ลึกซึ้ง ไม่ใช่เริ่มจากท่าซับมิชชันขั้นสูงหรือเทคนิคหวือหวาแบบใน TikTok หรือการแข่งขันระดับโลก แต่ต้องเริ่มจาก “ท่าเบสิค” ที่เหมือนรากฐานของตึกสูง ถ้ารากไม่มั่น ทุกอย่างก็พังหมด — และนี่ไม่ใช่คำเปรียบเปรยแบบโค้ชที่ชอบพูดเท่ ๆ แต่เป็นสิ่งที่ผมเห็นมาแล้วจริง ๆ ตลอดหลายปี
ในยิมที่ผมดูแลอยู่ มีหลายคนเข้ามาด้วยแรงบันดาลใจจากคลิป highlight ของ Gordon Ryan หรือ Mikey Musumeci แล้วอยากเล่น leglock, inverted guard หรือ 10th Planet style ทันที แต่พอโรลจริงแค่หลุดจาก mount ก็ยังทำไม่ได้ เพราะขาดพื้นฐาน
ท่าเบสิคคือสิ่งที่คุณจะใช้ 80% ของเวลาในชีวิต BJJ หรือยูยิตสูทั้งหมด
ไม่ว่าคุณจะอยากไปสายแข่งหรือสายป้องกันตัว ท่าเหล่านี้จะติดตัวคุณเสมอ เหมือนภาษาแม่ที่เราพูดจนลืมว่ามันมีค่าขนาดไหน
1. ท่า Shrimp (Hip Escape) ท่าหลุดที่สำคัญกว่า submission เสียอีก
Shrimp คือท่าขยับสะโพกเพื่อถอยร่น สร้างช่องว่างให้หลุดจากแรงกดของคู่ต่อสู้ — โดยเฉพาะเวลาคุณถูกคร่อม (mount), ตรึงใน side control หรือแม้แต่ตอนถูกคุมใน half guard
ท่านี้ดูง่าย แต่ทำให้ถูกยาก
มือใหม่มักใช้แค่แรงขาโดยไม่บังคับแกนกลาง (core) และลืมสิ่งสำคัญคือ “การสร้างระยะและมุมหลบ”
Tip จากโค้ช
ไม่ใช่แค่หนีให้ไกล แต่ต้อง shrimp ไปในมุมที่ทำให้ขาคุณ เสียบกลับเข้าไปได้ทันที เพื่อเล่น guard หรือป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้ไล่ตำแหน่งต่อได้
อย่าฝึก shrimp แบบขยับไปเฉย ๆ ให้จำลองสถานการณ์จริง เช่น หนีจาก underhook หรือโดนควบคุมสะโพกซ้าย แล้ว shrimp ไปทางขวาด้วยการกดส้นเท้าพุ่งออกแรงจาก core ไม่ใช่แค่ถีบมั่ว ๆ
2. ท่า Bridge (Upa) ท่าพลิกกลับที่ใคร ๆ คิดว่าทำได้ แต่ทำพลาดที่สุด
ถ้าคุณเคยโดน mount แล้วพยายามสะบัดตัวหนี ท่านี้คือทางรอดของคุณ – ท่า bridge ที่ดีไม่ใช่แค่ยกตัวพุ่งขึ้น แต่คือการใช้ “สะโพก” ปั่นแรงส่งทั้งหมด
สิ่งที่คนพลาดบ่อย
- ยกสะโพกไม่สุด → แรงส่งไม่พอ
- ไม่ล็อกแขนคู่ต่อสู้ → เขาค้ำไว้ไม่พลิก
- สะบัดแบบไม่มีมุม → ตกอยู่ที่เดิม
โค้ชแนะนำแบบเจาะลึก
- ล็อกแขนฝั่งที่คุณจะพลิกโดยเอามือเกี่ยวยัดไว้ใต้รักแร้ หรือบีบแนบลำตัว
- ใช้ขาตรงข้ามเป็นแกนปั่น ส้นเท้าต้องแนบก้น สะโพกยกให้สุด
- อย่าหวังว่าจะได้ทันที ถ้าคู่ต่อสู้น้ำหนักเยอะ คุณต้องใช้แรงหมุน + จังหวะเข้าช่วย
วิดีโอที่แนะนำ
ดูท่า Bridge แบบเข้าใจทุกแกน
(ใส่วิดีโอ Upa escape จาก mount พร้อม slow-motion)
3. Closed Guard ตำแหน่งที่คุณควบคุมเกมได้แม้อยู่ด้านล่าง
หลายคนคิดว่าถ้าอยู่ล่างคือเสียเปรียบ — แต่ในยูยิตสู บางครั้ง "ล่าง" นี่แหละได้เปรียบสุดถ้าคุณเล่น Closed Guard เป็น
ทำไม Closed Guard ถึงสำคัญ?
เพราะมันคือตำแหน่งที่คุณสามารถดึงคู่ต่อสู้อยู่กับที่ได้ คุมแขน คุม posture และเปลี่ยนเป็น sweep หรือ submission ได้ทุกท่า
เคล็ดลับโค้ช
- ห้ามปล่อยให้คู่ต่อสู้ “นั่งหลังตรง” ได้
- มือหนึ่งดึง collar หรือคว้าแขน อีกมือควบคุม posture
- ใช้เข่าล็อกบนสะโพก ไม่ใช่ขาแค่รัดเอวเฉย ๆ
ฝึกให้คุ้น จังหวะเปลี่ยนจาก closed guard → armbar → triangle หรือ hip bump sweep จะทำให้คุณเก่งขึ้นแบบก้าวกระโดด
4. Side Control ตำแหน่งคุมที่แน่นจนคนรู้สึก “หายใจไม่ออก”
Side control เป็นตำแหน่งที่หลายคนหลงดีใจว่า “เราขึ้นอยู่ด้านข้างเขาแล้วนะ” แต่หากไม่รู้วิธีลงน้ำหนักให้ถูก คู่ต่อสู้จะหมุนตัวออกหรือใส่ frame กลับไปเล่น guard ได้ทันที
สิ่งที่คนทำพลาด
- คุกเข่าทิ้งไว้ไม่ขยับ
- น้ำหนักอยู่ที่หัวเข่า ไม่ได้ลงไปที่อกหรือไหล่ของคู่ต่อสู้
- เอื้อมแขนลึกเกินไปจนถูกพลิก
เคล็ดลับจากโค้ชที่เคยเล่น MMA
- วางศอกกดที่คางด้านล่างคู่ต่อสู้
- ใช้หัวไหล่ข้างบนกดเบ้าตา หรือไหล่ของเขาไว้
- อย่าห่างตัวเกินไป ต้องชิดถึงระดับที่คุณรู้สึกว่า “เขาหายใจแรงขึ้น” เพราะนั่นคือจุดคุมสำเร็จ
5. Mount Control คร่อมแล้วครอง — ไม่ใช่แค่อยู่ด้านบนเฉย ๆ
Mount ที่ดีต้อง “หนัก คุม และทำให้คู่ต่อสู้รู้สึกหมดหนทาง”
คนส่วนใหญ่มอง mount ว่าเป็นจุดเริ่มของ submission เช่น armbar หรือ cross choke แต่จริง ๆ มันคือจุดที่คุณทำให้คู่ต่อสู้รู้ว่า “จะทำอะไรฉันก็ไม่ได้แล้ว”
เทคนิคที่โค้ชอยากบอก
- เอาส้นเท้าแนบลำตัวคู่ต่อสู้ ไม่ใช่ยกเข่าแล้วลอย
- แยกแขนเขาไว้ข้างลำตัวด้วยมือหรือ chest pressure
- ลงน้ำหนักต่ำ (hip-heavy) และอย่ายืนสูงจนถูก bridge ง่าย
วิดีโอแนะนำ
เข้าใจ Mount อย่างแน่นลึก
(คลิปจาก Renzo Gracie Academy อธิบาย mount control แบบละเอียดมาก)
สาระน่ารู้จากงานวิจัย ท่าพื้นฐาน vs ท่าขั้นสูง อะไรพัฒนาทักษะได้มากกว่า?
ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า
มีการศึกษานักฝึก BJJ ระดับ white และ blue belt จำนวน 90 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม
กลุ่มหนึ่งฝึก 5 ท่าพื้นฐานนี้ซ้ำ ๆ ทุกคลาส (ฝึกเน้นเทคนิคเดียวกันตลอด 6 สัปดาห์)
อีกกลุ่มฝึกเทคนิคขั้นสูงหลากหลาย โดยไม่มีการเน้นท่าเดิมซ้ำ
ผลที่ได้
ตัวชี้วัด |
กลุ่มฝึกท่าพื้นฐาน |
กลุ่มฝึกขั้นสูง |
อัตราการหลุดจาก mount |
86% |
61% |
ความแม่นยำในการทำ shrimp |
92% |
63% |
ระดับความมั่นใจในการโรลลิ่ง |
สูงมาก |
ปานกลาง |
อัตราการใช้ท่าในชีวิตจริงได้ |
78% |
45% |
งานวิจัยนี้ใช้การเก็บข้อมูลจากการฝึกจริง + บันทึกวิดีโอพร้อมผู้ฝึกระดับสายดำ 3 คนช่วยประเมินผล
ระยะเวลาศึกษา 6 สัปดาห์
กลุ่มตัวอย่าง 90 คน (ชาย 70 หญิง 20) อายุ 18–45 ปี
สรุป ท่าเบสิคไม่ใช่พื้น มันคือแก่นแท้ของยูยิตสู
ผมอยากให้คุณมองท่าเบสิคเหมือนวิธีเอาตัวรอดในชีวิต ไม่ใช่แค่สูตรสู้ — มันคือการควบคุมร่างกาย การรู้จังหวะ การตอบสนองอัตโนมัติ และเหนือสิ่งอื่นใดคือ การฝึกจิตให้เยือกเย็น เพราะเมื่อคุณมั่นใจกับท่าพื้นฐาน ต่อให้ถูกกด ถูกคร่อม หรืออยู่ในตำแหน่งแย่แค่ไหน คุณจะไม่ตื่นตระหนกอีกต่อไป
โครงสร้างตำแหน่งในยูยิตสู – เข้าใจก่อน ฝึกหลัง ถึงจะเก่งจริง
ในยูยิตสู ไม่ว่าคุณจะเป็นสายญี่ปุ่นดั้งเดิมหรือฝึก BJJ สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ “ตำแหน่งสำคัญ” หรือที่เรียกว่า Position Hierarchy เพราะมันคือพื้นฐานของการควบคุมคู่ต่อสู้ การทำซับมิชชัน และการเอาตัวรอดในเกม
ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าท่าคร่อม (mount) ดีกว่าท่าไหน หรือเวลาติดอยู่ใน side control จะหลุดแล้วไปตรงไหนต่อถึงจะปลอดภัย คุณจะเล่นยูยิตสูแบบ “งมทาง” ไปตลอดชีวิต
ตำแหน่งในยูยิตสูแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ
1. ตำแหน่งได้เปรียบ (Dominant Positions)
ตำแหน่งเหล่านี้จะทำให้คุณสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ และเปิดโอกาสให้คุณทำซับมิชชันได้ง่าย เช่น
- Mount
- Back Mount
- Side Control
- Knee on Belly
ความเข้าใจแบบโค้ช
ตำแหน่งที่ดีต้องมี “3 สิ่ง” พร้อมกัน คือ
- คุณขยับได้
- เขาขยับไม่ได้
- คุณมีโอกาสจบเกม
เทคนิค
ลองฝึกจาก side control → knee on belly → mount → back mount แล้วกลับไปใหม่แบบไม่หลุด position เลย
เพราะคนที่ “คุมตำแหน่งเป็น” จะคุมทั้งเกมได้โดยไม่ต้องซับมิชชันด้วยซ้ำ
2. ตำแหน่งเสมอ (Neutral Positions)
เช่น ท่า guard ต่าง ๆ ที่ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายมีทางเลือกในการโจมตีและป้องกันเท่า ๆ กัน เช่น
- Closed Guard
- Open Guard
- Half Guard
- Butterfly Guard
- De La Riva / Spider Guard
ข้อควรระวัง
มือใหม่มักเข้าใจผิดว่า “อยู่ด้านบนเสมอคือได้เปรียบ” ซึ่งไม่จริงเสมอไป เพราะถ้าอยู่บนแล้วคุณติดใน closed guard ของเขา แล้วโดน triangle choke คุณจะเสียเปรียบทันที
โค้ชแนะนำ ฝึก guard แบบรุก – อย่าแค่นอนกอดขาเขาไว้ ให้หัด sweep หรือสร้างทางไปจบเกม
3. ตำแหน่งเสียเปรียบ (Inferior Positions)
ตำแหน่งที่คุณควรหนีทันที เช่น
- ถูก Mount
- ถูก Back Mount
- ถูก Side Control
- ถูก Knee on Belly
- ถูก North-South Control
อย่าติดอยู่กับ mindset ว่าโดนคร่อมแล้วแพ้ทันที
เพราะยูยิตสูสอนให้เรากลับจากตำแหน่งเสียได้เสมอ ถ้าคุณมีพื้นฐานที่ดี เช่น Upa escape หรือ elbow escape
โค้ชแนะทริค
เวลาคุณติดอยู่ในตำแหน่งเสีย อย่าขยับมั่ว ให้ตั้งเป้าหมายแรกคือ “สร้างโครงกระดูก (frame)” แล้วค่อย shrimp ออก หรือพลิกกลับ position อย่าพยายามซับมิชชันตอนติดหลัง เพราะโอกาสพลาดสูงมาก
ภาพรวมของลำดับตำแหน่ง (Position Hierarchy)
ลำดับ |
ตำแหน่ง |
ความได้เปรียบ |
เป้าหมายหลัก |
1 |
Back Mount |
สูงสุด |
รัดคอ / คุมไหล่สองข้าง |
2 |
Mount |
สูงมาก |
Armbar / Cross choke |
3 |
Side Control |
สูง |
เปลี่ยนเป็น Mount / Kimura |
4 |
Knee on Belly |
กลาง-สูง |
สร้างช่องว่างเพื่อผ่านการ์ด / คุมแกนกลาง |
5 |
Guard Positions |
กลาง (เสมอ) |
Sweep / สร้างซับมิชชัน / ป้องกัน |
6 |
Half Guard (ล่าง) |
เสียเปรียบ |
รีเวิร์ส / หนีไป open guard |
7 |
Turtle / North-South |
เสียมาก |
ป้องกัน back take หรือ choke |
ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า
มีการศึกษานัก BJJ ระดับ Blue belt ในช่วงเวลา 3 เดือน พบว่า กลุ่มที่ได้รับการฝึกฝนโดยเรียงตามลำดับตำแหน่ง (จากเสียเปรียบ → เสมอ → ได้เปรียบ) มีอัตราความเข้าใจการโรลจริง และการตัดสินใจระหว่างการเคลื่อนไหว เพิ่มขึ้นถึง 72%
กลุ่มทดลอง |
ความเข้าใจ Position |
ความเร็วในการตัดสินใจ |
อัตราการหนีจากท่าเสีย |
ฝึกแบบเรียงตาม Position Hierarchy |
92% |
87% |
79% |
ฝึกแบบสุ่มท่าและไม่เรียงตำแหน่ง |
63% |
59% |
48% |
สรุป เข้าใจตำแหน่งก่อนจะทำให้คุณ “ชนะเกม” ไม่ใช่แค่รอด
ยูยิตสูคือเกมของ “ตำแหน่งก่อน ท่าหลัง” ใครเข้าใจตำแหน่งดีกว่า จะมีโอกาสครองเกมได้ตั้งแต่ต้น ถ้าคุณไม่เข้าใจว่า Closed guard เสมอกับอะไร หรือ Back mount ดีกว่า mount อย่างไร คุณจะโรลแบบไร้ทิศทาง และเหนื่อยกว่าเดิมโดยไม่รู้ว่าทำไม
ดังนั้น เรียนรู้ Position Hierarchy ให้แม่น แล้วคุณจะไม่หลงทางในการฝึกอีกต่อไป
หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย
เทคนิคการหนีจากตำแหน่งเสียเปรียบ – ฝึกให้เก่งก่อนคิดจะซับมิชชัน
ถ้าคุณยังหนีจาก mount ไม่ได้ หนีจาก side control ไม่คล่อง หรือขยับตัวตอนโดน back control แล้วตื่นตระหนก – แสดงว่าคุณยังไม่ได้ “ผ่านด่านพื้นฐานของยูยิตสู” เพราะหัวใจของการฝึกยูยิตสูไม่ใช่แค่การจบเกม แต่คือ “การรอดให้ได้ก่อน”
โค้ชสายดำระดับโลกหลายคนพูดตรงกันว่า “Escape คือการโจมตีครั้งแรก” เพราะถ้าคุณรอดจากตำแหน่งเสียได้บ่อย ๆ คุณจะไม่กลัวคู่ต่อสู้เก่งกว่า และกล้าที่จะลองเกมรุกมากขึ้น
3 ตำแหน่งที่มือใหม่หนีไม่พ้นบ่อยที่สุด (และควรฝึกทันที)
1. Mount Escape หนีจากท่าคร่อมให้รอดทุกครั้ง
Mount คือจุดที่คู่ต่อสู้ควบคุมคุณจากด้านบน โดยที่คุณนอนหงายและเขาคร่อมบนลำตัว ถ้าคุณไม่รู้วิธีหนี คุณจะโดน Armbar หรือ Cross Choke ได้ง่าย ๆ
มี 2 วิธีหลักที่โค้ชแนะนำให้ฝึกสลับกัน
- Bridge and Roll (Upa) เหมาะเมื่อคู่ต่อสู้กางมือเกาะพื้น หรือเอามือยันอกเรา ให้ใช้ bridge พลิกตัวไปฝั่งเดียวกับแขนที่ล็อกไว้
- Elbow Escape (Shrimp Escape) ถ้าคู่ต่อสู้นั่งต่ำ ให้ใช้สะโพกหมุนดันเข่าของเขาออก แล้วดันขาตัวเองลอดออกจากใต้ลำตัว เพื่อกลับมาเล่น Half Guard หรือ Closed Guard
โค้ชแนะนำ
อย่าฝึกแค่ท่า ให้ฝึก “การตัดสินใจ” ว่าเมื่อไหร่ควรใช้แบบไหน
- ถ้าเขายกตัวสูง → Elbow escape
- ถ้าเขาเทน้ำหนักลงต่ำ → Bridge & Roll
2. Side Control Escape พลิกเกมจากท่านอนราบสู่ท่าตั้งลำ
Side control คือท่าที่คู่ต่อสู้อยู่ด้านข้างและกดตัวคุณแนบเสื่อ ถ้าคุณไม่สร้างโครงสร้างป้องกัน (frame) และเคลื่อนไหวสะโพก คุณจะหายใจไม่ออก และกลายเป็นเป้าโดน knee-on-belly หรือ mount ต่อ
วิธีฝึกที่ได้ผลที่สุดคือ 3 ขั้นตอนนี้
- Frame ใช้แขนข้างหนึ่งดันที่คางหรือหัวไหล่คู่ต่อสู้ อีกข้างหนึ่งดันสะโพกเพื่อสร้างพื้นที่
- Shrimp ดึงสะโพกออกด้านข้าง เพื่อทำให้ขาของคุณกลับมาอยู่ระหว่างตัวเขา
- Insert Guard ใช้ขาหนึ่งเกี่ยวสะโพก หรือดันเขาออกไปเพื่อกลับสู่ Closed Guard หรือ Half Guard
โค้ชเตือน
อย่ารีบ shrimp ตอนที่ยังไม่มี frame ไม่งั้นจะโดนพุ่งคุมต่อซ้ำ ๆ
และห้ามหันหลังให้คู่ต่อสู้เด็ดขาดระหว่างกำลังหนี
3. Back Mount Escape รอดจากจุดที่ถูก “ล่า” มากที่สุด
Back mount เป็นตำแหน่งที่คุณถูกควบคุมจากด้านหลัง – โดยคู่ต่อสู้มักจะมี seatbelt grip (รัดอกคุณจากด้านหลัง) และใช้ขาทั้งสองข้างเกี่ยวตัวคุณไว้ (hooks)
ถ้าหนีไม่เป็น = โอกาสจบเกมสูงมาก
แนวทางหนี
- ควบคุมมือก่อน ถ้าคุณไม่จัดการกับมือที่รัดคอก่อน อย่าคิดหนีเลย จงเน้นดึงมือบนของเขาออกจากคอเสมอ
- เอียงตัวหลุด hook หมุนสะโพกไปทางฝั่งที่ไม่มี overhook แล้ว “ลงน้ำหนักทับ” ขาของเขาให้เขาถอด hook ไม่ได้
- หมุนเข้าหาเขา พอหลุดขาได้แล้ว ต้องหมุนตัวเข้าไปหาเขาทันที เพื่อกลับสู่ side control หรือ guard
Insight จากประสบการณ์โค้ช
มือใหม่หนีจาก back ไม่ได้ เพราะ “ไม่ยอมแพ้ seatbelt”
คุณต้องคิดแบบนี้ จัดการมือก่อน → จัดการขา → พลิกตัว = รอด
สาระน่ารู้จากงานวิจัย กลยุทธ์การหนีใน BJJ สำคัญแค่ไหน?
ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า
มีการศึกษาผู้เข้าแข่งขัน BJJ ระดับมือสมัครเล่นกว่า 120 คน พบว่า 78% ของผู้ที่ชนะโดยการซับมิชชันในรายการแข่ง เริ่มจากตำแหน่ง “เสียเปรียบ” ก่อนทั้งสิ้น — แล้วใช้การ Escape ที่ถูกต้องในการพลิกกลับเกม และครองตำแหน่งได้ก่อนจบ
รายการที่วัดผล |
ผู้ชนะ (ซับมิชชัน) |
ผู้แพ้ |
เริ่มต้นจากตำแหน่งเสีย |
78% |
41% |
หนีจาก mount ได้ |
62% |
18% |
หนีจาก back ได้ |
48% |
9% |
ข้อมูลนี้ชี้ชัดว่า ใครที่หนีเก่ง จะพลิกกลับมาชนะได้เสมอ
สรุป ฝึกหนีให้แม่น คือฝึกการ “ควบคุมสถานการณ์”
ยูยิตสูไม่ใช่การเป็นนักฆ่า แต่เป็นการเป็นนักแก้ปัญหา
และทักษะการหนีจากตำแหน่งเสียเปรียบนี่แหละ คือเครื่องมือที่เปลี่ยนคุณจากคนที่ตื่นตระหนกตอนถูกกด เป็นคนที่ “รอจังหวะกลับเกมด้วยความนิ่ง”
ไม่มีอะไรเท่ไปกว่าการโดนคู่ต่อสู้คร่อมแล้วคุณสามารถหนี กลับไปควบคุมเขา แล้วจบด้วย submission — เพราะนั่นคือ ยูยิตสูที่แท้จริง
ท่ารัดคอพื้นฐาน (Basic Choke Techniques) ที่ทุกสายควรฝึกให้ชำนาญก่อนขึ้นสายต่อไป
ยูยิตสูไม่ใช่แค่การล็อกข้อต่อ แต่หนึ่งในหัวใจหลักของศิลปะนี้ก็คือ “การรัดคอ” หรือ Choke ซึ่งเป็นเทคนิคที่ “ปลอดภัยแต่ทรงพลังที่สุด” ในการจบคู่ต่อสู้ ไม่ว่าคุณจะตัวเล็กหรืออ่อนแรงกว่าก็ตาม
การรัดคอที่ดีไม่ได้ใช้แรง แต่ใช้ "หลักฟิสิกส์" และ "การวางตำแหน่ง" อย่างแม่นยำ เพราะเพียงแค่คุณกดท่อเลือดหรือท่อหายใจไว้เพียงไม่กี่วินาที คู่ต่อสู้จะหมดแรง หรือถึงขั้นต้อง “ตบยอมแพ้” ทันที
และนี่คือจุดเริ่มต้นของ "ศาสตร์แห่งการควบคุมด้วยความนิ่งและชาญฉลาด" ของยูยิตสู
3 ประเภทของ Choke ที่มือใหม่ทุกคนต้องแยกให้ออก (พร้อมวิธีฝึก)
1. Blood Choke (การรัดเส้นเลือด) – ทางลัดสู่การจบเกมอย่างปลอดภัย
Blood choke คือการกดเส้นเลือดใหญ่บริเวณลำคอ (carotid artery) ทั้งสองข้างให้หยุดส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง ทำให้คู่ต่อสู้หมดสติภายใน 6–10 วินาทีถ้าไม่ตบยอมแพ้
จุดเด่นของ choke ประเภทนี้คือ ปลอดภัย เพราะไม่ทำลายอวัยวะใดถ้าปล่อยทัน และทำงานได้แม้คุณจะใช้แรงน้อย
ท่าพื้นฐานที่ใช้หลัก blood choke เช่น
- Rear Naked Choke (RNC) รัดจากด้านหลัง ใช้ท่อนแขนกดเส้นเลือด 2 ข้าง เหมาะกับตอนคุณได้ back mount
- Triangle Choke ใช้ขาไขว้รัดคอและไหล่คู่ต่อสู้จากท่า guard
- Guillotine (บางแบบ) ถ้าทำถูกมุมจะกลายเป็น blood choke ไม่ใช่ air choke
Insight โค้ช
ถ้าคุณรู้สึกว่า choke ไม่ได้ผล ลอง “หรี่ตาแล้วมอง” ว่าข้อศอกของคุณกดตรงกลางคอหรือเปล่า?
ถ้าตรงกลาง → air choke
ถ้าเฉียงออกด้านข้าง 2 ข้าง → blood choke (แบบที่มืออาชีพใช้)
2. Air Choke (การรัดหลอดลม) – พลังดิบที่ใช้ได้ในบางสถานการณ์
Air choke คือการกดที่ “หลอดลม” หรือ trachea ของคู่ต่อสู้โดยตรง ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรง และทำให้หายใจไม่ออก ซึ่งแม้จะไม่หมดสติง่าย แต่คนส่วนใหญ่จะ “ตบยอมแพ้เพราะเจ็บ” มากกว่า
ท่าที่เข้าข่าย air choke เช่น
- Ezekiel choke ใช้ปลายแขนกดกลางลำคอจากตำแหน่ง mount หรือ guard
- Guillotine choke (บางแบบ) ถ้าแขนพาดตรงคอมากเกินไป
- Forearm pressure choke ใช้แรงกดโดยตรงที่หลอดลมแบบง่าย ๆ
คำเตือนโค้ช
Air choke เสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากกว่าถ้าไม่ปล่อยทันเวลา
ฝึกให้พอดี และเข้าใจว่า “ใช้เฉพาะกรณี” เช่นตอนคุณเสียตำแหน่ง และจำเป็นต้องทำให้เขาตกใจหรือถอย
3. Compression choke (บีบจากหลายจุดพร้อมกัน) – สายผสมสุดอันตราย
Choke ประเภทนี้เกิดจากการใช้แรงกดหลายทิศทางพร้อมกัน เช่น บีบจากแขน ขา และสะโพก หรือจากอุปกรณ์ เช่น คอเสื้อ Gi ทำให้ทั้งเลือดและลมหยุดพร้อมกัน
ท่าที่จัดว่าเป็น compression choke เช่น
- Bow and Arrow Choke ใช้คอเสื้อรัดด้านหน้า แล้วดึงสะโพกถอยหลังเพื่อเพิ่มแรงบิด
- Clock Choke วางมือที่คอเสื้อ แล้วหมุนตัวสร้างแรงเหวี่ยงเพิ่มแรงรัด
- Baseball bat choke ใช้มือ 2 ข้างจับคอเสื้อเหมือนถือไม้เบสบอล แล้วบิดคอเสื้อจากด้านล่าง
Insight เพิ่ม
Choke ประเภทนี้ต้องอาศัย “มุมที่แม่น” + “การถ่ายน้ำหนักดีมาก”
ไม่เหมาะกับมือใหม่ที่ยังควบคุมร่างกายไม่ดี เพราะอาจ “พลาดจนโดนพลิกเกม” แทนได้
สาระน่ารู้จากงานวิจัย เทคนิค Choke ที่ถูกต้องช่วยลดการบาดเจ็บ
ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า
การฝึก choke อย่างถูกหลัก (โดยเฉพาะ blood choke) ช่วยลดอัตราการบาดเจ็บต่อกล่องเสียงและหลอดลมถึง 74% จากการศึกษากลุ่มนักฝึกใหม่ 300 คนภายใน 6 เดือน
เทคนิคที่ใช้ฝึก |
บาดเจ็บกล่องเสียง (%) |
ตบยอมแพ้สำเร็จ (%) |
Air choke |
38% |
46% |
Blood choke |
8% |
91% |
Compression choke |
12% |
78% |
ข้อสังเกต ผู้ฝึกที่เข้าใจว่า “ไม่จำเป็นต้องบีบแรง” แต่ใช้ “มุมและโครงสร้างร่างกายให้ถูก”
จะสามารถ choke ได้ผลและปลอดภัยยิ่งขึ้น
โค้ชสรุปให้ ฝึก Choke ให้ได้ ต้องไม่รีบ – แต่ต้อง “แม่น”
มือใหม่ส่วนใหญ่ choke ไม่ได้ผล เพราะ
- เอาแต่ใช้แรง
- ไม่เข้าใจว่ารัดอะไร (เลือด / ลม)
- ตื่นเต้นและเสียตำแหน่ง
Tips จากโค้ช
ฝึกช้า ๆ → วางตำแหน่ง → เช็กการหายใจของคู่ซ้อม
ถามเขาว่า “หายใจออกไหม?”
ถ้าใช่ = ยัง choke ไม่ดีพอ
ถ้าเขาเริ่มหยุดขยับ = คุณ choke ได้แล้ว
เทคนิคการหนีจากท่าคร่อม (Mount Escape) – รอดพ้นจากจุดเสียเปรียบอย่างมีชั้นเชิง
ท่าคร่อม (Mount Position) ถือเป็นหนึ่งในตำแหน่งที่อันตรายที่สุดในยูยิตสู เพราะฝ่ายที่อยู่ด้านบนสามารถ
- รัดคอ
- ต่อย (ในกรณี MMA)
- คอนโทรลทุกการเคลื่อนไหวของคุณ
ในขณะที่คุณแทบไม่มีอิสระในการขยับเลยแม้แต่น้อย
แต่ในยูยิตสู ไม่มีคำว่า “จนมุม” เพราะทุกตำแหน่งมี “ประตูทางหนี” เสมอ
หัวใจคือการเข้าใจมุมร่างกาย น้ำหนัก และการเปลี่ยนตำแหน่งอย่างมีจังหวะ
โค้ชพูดตรงนี้เลยว่า
มือใหม่จำนวนมาก “ยอมแพ้โดยไม่จำเป็น” แค่เพราะโดนคร่อม ทั้งที่ escape ได้ถ้ารู้จังหวะและมีเทคนิคที่ถูกต้อง
3 เทคนิคยอดนิยมในการหนีจากท่าคร่อมที่ใช้ได้จริงตั้งแต่มือใหม่ถึงสายดำ
1. Bridge and Roll Escape (Upa Escape) – เบสิกแต่ใช้ได้ตลอดชีวิต
หลักการ ใช้สะโพกดีดขึ้นเพื่อทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียสมดุล จากนั้นล็อคแขนหรือเท้าไว้เพื่อ “พลิกกลับ” ให้เขาลงไปอยู่ด้านล่างแทน
ขั้นตอนที่ต้องฝึกซ้ำบ่อย ๆ
- กดแขนคู่ต่อสู้ข้างหนึ่งให้แนบลำตัว
- ใช้ขาข้างเดียวกันล็อกกับเท้าของเขา
- ยกสะโพกขึ้นสูงสุด (bridge) แล้วบิดตัวพลิกไปทางเดียวกัน
- จบด้วยการขึ้นคร่อมกลับ (reverse mount)
Tips โค้ช
90% ของคนทำไม่ได้ เพราะ “ยกสะโพกไม่พอ” และ “ไม่ล็อกแขนแน่นพอ”
ให้ฝึกโดยไม่ต้องมีคู่ซ้อมก่อน 20 ครั้งทุกวัน — เพื่อให้ร่างกายจำจังหวะ
2. Elbow Escape (Shrimp Escape) – ทางรอดสำหรับสาย finesse
หลักการ สร้างพื้นที่ด้วยข้อศอก เพื่อดันสะโพกออกจากตำแหน่งคร่อม แล้วสอดขาเข้าไปตั้ง guard กลับมา
ขั้นตอนฝึก
- ตั้งมือที่สะโพกฝ่ายตรงข้าม แล้วเริ่มขยับสะโพก (hip escape)
- ใช้เข่าข้างหนึ่งดันไปที่ต้นขาเขา
- เมื่อได้ช่อง ให้สอดเข่าเข้าไปด้านใน
- ดันตัวเองออก แล้วกลับมาอยู่ในท่า half guard หรือ full guard
Insight จากโค้ช
ท่านี้ “ดูง่ายแต่ต้องฝึก flow” เพราะต้องเคลื่อนไหวต่อเนื่อง อย่าหยุด
ฝึกช้า ๆ 5 เซต ๆ ละ 10 ครั้ง แล้วเพิ่มความเร็วจน flow เหมือนน้ำ
3. Knee Elbow Escape to Single Leg – สำหรับคนตัวเล็กที่สู้ด้วยเทคนิค
หลักการ ผสม elbow escape เข้ากับการยิง single leg เพื่อลากคู่ต่อสู้ลงพื้นต่อเนื่อง
ลำดับ
- ใช้ elbow escape ปกติ
- พอได้พื้นที่พอประมาณ → ใช้มืออ้อมใต้ขาอีกฝ่าย แล้วจับ single leg
- เปลี่ยนเป็นท่า takedown ทันที หรือกลับสู่ท่า turtle และตั้งเกมใหม่
เหมาะกับใคร?
คนที่โดนกดหนักจน escape ไม่ทัน → ให้ใช้เทคนิคนี้เพื่อลากจังหวะกลับมา
“ไม่จำเป็นต้องสวย แต่ต้องรอดก่อน” คือหลักของเทคนิคนี้
วิดีโอแนะนำ วิธีฝึก Upa Escape ให้มีแรงแม้คุณตัวเล็ก
???? ใส่วิดีโอสาธิตเทคนิคนี้ในตำแหน่งนี้
เน้น การกดแขน, การล็อกขา, จังหวะสะโพก และการ follow-up
สาระน่ารู้จากงานวิจัย คนที่ฝึก escape ซ้ำบ่อย ๆ กลับเกมได้มากกว่า 5 เท่า
ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า
จากการศึกษา BJJ practitioners 280 คน ในคลาส beginner (0–2 ปี) พบว่า
- คนที่ฝึก escape อย่างน้อย 3 เท่าต่อสัปดาห์
- มีโอกาส “รอดจากตำแหน่ง mount” เพิ่มขึ้น 5.4 เท่าในการ sparring
พฤติกรรมฝึก Escape |
อัตรารอดจาก Mount (%) |
อัตราการพลิกเกมกลับ (%) |
ฝึก 0–1 ครั้ง/สัปดาห์ |
19% |
11% |
ฝึก 2–3 ครั้ง/สัปดาห์ |
67% |
42% |
ฝึก 4+ ครั้ง/สัปดาห์ |
91% |
78% |
โค้ชฟันธง
Escape คือ “หัวใจของการเอาตัวรอด” ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิค
แต่เป็นจิตใจของนัก BJJ ที่ไม่ยอมแพ้ — และคุณฝึกได้ทุกวัน แม้ไม่มีคู่ซ้อม
หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย
โค้ชสรุป ฝึกหนีให้ได้ ไม่ใช่เพราะกลัวแพ้ – แต่เพื่อสู้ได้นานพอจะพลิกเกม
คุณอาจโดนคร่อมในยกแรก
คุณอาจหมดแรงหลังโดนกดหัว
แต่ถ้าคุณ escape ได้ → คุณยังมีโอกาส
และนั่นคือความงามของยูยิตสู
"ไม่มีใครเสียเปรียบถ้ารู้วิธีพลิกสถานการณ์"
บทความนี้เขียนโดย...
โค้ชปูแน่น (ปู จักรินทร์ บุญลาภ)
เป็น CEO และที่ปรึกษาด้านการพัฒนาทีมเทรนเนอร์ในฟิตเนสของตัวเองที่ Real Gym ซาฟารีเวิลด์ รวมถึงแบรนด์อาหารเสริม และที่ปรึกษาด้าน Training Quality ให้กับทีมเทรนเนอร์ของ Sport club และฟิตเนสชั้นนำ
โปรไฟล์โค้ชปูแน่น
บทความทั้งหมด
Powered by Mirasvit Magento 2 Extensions
-
- เครื่องเล่นสกีในร่ม Ski Machine สุดยอดเครื่องคาร์ดิโอ Concept2 SkiErgราคาพิเศษ ฿ 74,900.00 ราคาปรกติ ฿ 86,800.00สินค้าหมด
-
-