ติดต่อเจ้าหน้าที่
×
เครื่องออกกำลังกาย อุปกรณ์ออกกําลังกาย อุปกรณ์ฟิตเนส
view-th view-en
ตะกร้า 0 ตะกร้าสินค้า

ยูยิตสูคืออะไร (What is Jiu-Jitsu?)

ยูยิตสูคืออะไร (What is Jiu-Jitsu?)

วิวัฒนาการจากญี่ปุ่นสู่บราซิล (The Evolution from Japanese to Brazilian Jiu-Jitsu)

ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ยูยิตสูญี่ปุ่น ได้เดินทางออกนอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก ผ่านเหล่าครูผู้เชี่ยวชาญที่เดินทางไปทั่วโลก ทั้งเพื่อสอนและแสดงโชว์ศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิม หนึ่งในผู้มีอิทธิพลที่สุดคือ โคโดะ คาโนะ (Kano Jigoro) ผู้ก่อตั้งยูโด ที่แตกแขนงมาจากยูยิตสูและเน้นความปลอดภัยมากขึ้น

จุดเปลี่ยนที่สำคัญ: การเดินทางของ “มิตสึโยะ มาเอดะ” สู่บราซิล

ในปี ค.ศ. 1914 นักยูโดระดับสูงชาวญี่ปุ่นนามว่า มิตสึโยะ มาเอดะ (Mitsuyo Maeda) ได้เดินทางไปยังบราซิลในฐานะนักแสดงโชว์ศิลปะการต่อสู้

ที่เมืองปารา (Pará) เขาได้พบกับ Gastão Gracie นักการเมืองท้องถิ่นผู้มีลูกชายชื่อว่า Carlos Gracie

มาเอดะได้ถ่ายทอดวิชายุโดผสมยูยิตสูให้กับคาร์ลอส ซึ่งต่อมาได้ถ่ายทอดต่อให้น้องชายคือ Hélio Gracie ผู้ซึ่งเปลี่ยนแปลงรูปแบบยูยิตสูให้เหมาะกับร่างกายเล็กและอ่อนแรงของตนเอง

 

หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย

 

การพัฒนาเป็น BJJ: ศาสตร์แห่งการต่อสู้สำหรับคนตัวเล็ก

เฮลิโอ เกรซี่ ไม่สามารถใช้พละกำลังแบบดั้งเดิมได้ จึงเริ่มปรับท่าให้ใช้ เลเวอเรจ, การวางตำแหน่ง (Positioning), และการควบคุม (Control) มากขึ้น

เขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแรงกว่าได้หลายครั้ง ซึ่งจุดกระแสให้ BJJ กลายเป็น “ศิลปะการต่อสู้ที่เน้นเทคนิคเหนือแรง”

BJJ พัฒนาต่อเนื่องจนกลายเป็นศิลปะการต่อสู้ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีท่าพื้นฐานเช่น

  • Guard
  • Mount
  • Side Control
  • Back Control
  • Submission เช่น Armbar, Triangle Choke, Rear Naked Choke ฯลฯ

 

การขยายตัวทั่วโลก: จากสนามข้างบ้านสู่เวที MMA

ช่วงปี 1993 การแข่งขัน UFC ครั้งที่ 1 ได้เปิดเวทีใหม่ให้กับ BJJ อย่างแท้จริง

Royce Gracie ซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลเกรซี่ สามารถชนะนักมวยและนักกังฟูที่ตัวใหญ่กว่ามาก ด้วยการใช้ท่า Submission ทั้งหมด

???? หลังการแข่งขันนั้น เว็บไซต์การสอน BJJ พุ่งขึ้นถึง 800% ภายใน 6 เดือน และเกิดโรงเรียน BJJ ทั่วโลก

ไม่ใช่แค่กีฬา แต่กลายเป็นเครื่องมือป้องกันตัวที่ตำรวจ ทหาร และผู้หญิงจำนวนมากหันมาเรียนกันอย่างจริงจัง

 

งานวิจัยที่น่าสนใจ

ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า ในปี 2018 มีการศึกษากลุ่มประชากรฝึก BJJ จำนวน 1,124 คนใน 12 ประเทศทั่วโลก พบว่า:

หัวข้อ

ค่าเฉลี่ย

อายุเฉลี่ยของผู้ฝึก

31.7 ปี

สัดส่วนผู้หญิง

18.3%

สัดส่วนผู้ฝึกเพื่อสุขภาพ

47%

สัดส่วนผู้ฝึกเพื่อการแข่งขัน

23%

สัดส่วนผู้ฝึกเพื่อการป้องกันตัว

30%

แสดงให้เห็นว่า BJJ เป็นศาสตร์ที่เข้าถึงง่ายและเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย

 

โค้ชแนะ: "ฝึก 6 เดือน = เปลี่ยนมุมมองชีวิต"

“ผมเคยเห็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ โดนบูลลี่มาตลอดชีวิต หลังฝึก BJJ แค่ 6 เดือน เธอสามารถป้องกันตัวเองจากการล็อกคอได้และมีความมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้น”

“ยูยิตสูไม่ได้เปลี่ยนคุณที่ภายนอก แต่เปลี่ยนความเชื่อในตัวเองภายในต่างหาก”

ปรัชญาแห่งยูยิตสู: ยอมเพื่อควบคุม (The Philosophy of Yielding to Control)

ในวัฒนธรรมการต่อสู้ส่วนใหญ่ มักมีภาพจำว่า “ผู้ชนะคือผู้ที่เหนือกว่าทางพละกำลัง” แต่ยูยิตสูกลับ พลิกหลักการนี้โดยสิ้นเชิง

BJJ คือศิลปะที่สอนให้ “ยอมแพ้ในช่วงเวลาสำคัญ เพื่อคว้าชัยในจังหวะที่คู่ต่อสู้ไม่ทันตั้งตัว”

แนวคิดนี้ไม่ได้เป็นแค่เทคนิคในสนาม แต่เป็นปรัชญาชีวิตที่ฝังรากลึกในวิถีของผู้ฝึกยูยิตสูทุกคน

 

ปรัชญาญี่ปุ่นดั้งเดิม: JU (柔) คือความยืดหยุ่นอย่างมีสติ

คำว่า “Jū” (柔) หมายถึงความนุ่มนวล ยืดหยุ่น และไม่ต้านทานโดยไม่จำเป็น

ไม่ใช่การยอมแพ้ในเชิงความหมายเชิงลบ แต่คือการ เข้าใจแรงของฝ่ายตรงข้าม แล้ว นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

“ยูยิตสูไม่ได้สอนให้คุณต้านทานแรง แต่สอนให้คุณใช้แรงนั้นพาคู่ต่อสู้ไปในทางที่เขาไม่รู้ตัว”

ในการฝึก BJJ คุณจะพบว่า ผู้ที่ยอม “รับน้ำหนักของคู่ต่อสู้” และ “ควบคุมตำแหน่งของตนเอง” ได้ดี

มักเป็นผู้ที่ “ไม่เหนื่อย” และ “ควบคุมเกม” ได้ดีกว่าคนที่พยายามออกแรงเต็มที่

 

ตัวอย่างในสนามจริง: การใช้แรงฝ่ายตรงข้ามกลับไปโจมตีเขาเอง

เช่น ท่า Armbar หรือ Triangle Choke ที่ได้ผลที่สุด

มักจะมาจากจังหวะที่ “ฝ่ายตรงข้ามผลักแรงเกินไป” หรือ “เสียสมดุลจากความรีบเร่ง”

คนที่ใจเย็นจะเปิดจังหวะได้เมื่ออีกฝ่ายใช้แรงเกินตัว

นี่คือตัวอย่างของ “ยอมเพื่อควบคุม” อย่างแท้จริง

 

งานวิจัยจากการแข่งขัน BJJ ระดับโลก (ปี 2022)

ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า: มีการวิเคราะห์วิดีโอการแข่งขัน BJJ จาก IBJJF World Championship จำนวน 226 ไฟต์ พบว่า:

ประเภทท่า

อัตราความสำเร็จ

ความถี่ที่ใช้

ท่า Submission จาก Guard

68%

สูง

ท่า Takedown ตรง ๆ

19%

ปานกลาง

ท่า Explosive Pass

13%

ต่ำ

งานวิจัยสรุปว่า “ท่าที่ใช้แรงน้อยกว่า และใช้จังหวะกลับตัว เช่น Guard → Sweep หรือ Trap → Submission มีอัตราชนะสูงกว่า”

 

ยกตัวอย่างแนวคิดจากครูสายเกรซี่

“คุณไม่สามารถบังคับทุกอย่างในชีวิตได้ แต่คุณสามารถควบคุมวิธีที่คุณตอบสนองต่อสิ่งนั้นได้ — เช่นเดียวกับบนเสื่อยูยิตสู”

Rickson Gracie

 

เคล็ดลับ 4 ข้อในการฝึกปรัชญา “ยอมเพื่อควบคุม” ให้ได้ผลจริง

1. ฝึก “Flow Roll” บ่อย ๆ

อย่ารีบ “ชนะ” ในทุกจังหวะ ให้ฝึกไหลกับคู่ซ้อมโดยไม่ใช้แรงเกินจำเป็น

วิธีนี้จะทำให้คุณเรียนรู้ “จังหวะ” แทนที่จะหมกมุ่นกับ “ผลลัพธ์”

2. ตั้งคำถามกับทุกแรงที่ออกไป

ทุกครั้งที่คุณ “ผลัก” หรือ “ยื้อ” ให้หยุดคิดว่าแรงนั้นจำเป็นจริงหรือไม่

ถ้าคำตอบคือ “ไม่จำเป็น” — แปลว่าคุณยังไม่เข้าใจปรัชญา JU

3. สังเกตคู่ซ้อม ไม่ใช่บังคับเขา

ดูว่าเขากำลัง “อยากทำอะไร” แล้วเปิดทางให้เขาทำ จากนั้นใช้แรงของเขาเองย้อนกลับไปควบคุม

4. ฝึกจิตใจให้สงบแม้เวลาถูกกด

“ใจร้อน” คือต้นเหตุของการใช้แรงเกินจำเป็น

คนที่เข้าใจ BJJ คือคนที่สามารถ “ยิ้ม” ได้แม้ขณะอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ

 

โค้ชแนะ: วิธีฝึกปรัชญานี้นอกเสื่อ

“เวลาโดนเจ้านายดุหรือโดนเพื่อนร่วมงานกดดัน อย่าพุ่งใส่เหมือนตอน Takedown… ให้คุณเปลี่ยนมุมมอง เหมือนตอน Recover Guard แล้วหายใจลึก ๆ คุณจะเห็น ‘จังหวะหลุด’ ที่คนอื่นมองไม่เห็น”

เปรียบเทียบ BJJ กับศิลปะการต่อสู้อื่น (BJJ vs Other Martial Arts)

 

ในโลกของศิลปะการต่อสู้ มีหลากหลายแขนงที่มีเป้าหมายต่างกัน ไม่ว่าจะเพื่อ การต่อสู้จริง (Combat), การแข่งขัน (Sport), หรือ การป้องกันตัว (Self-defense)

แต่ Brazilian Jiu-Jitsu (BJJ) กลับโดดเด่นในฐานะ “ศิลปะที่ให้คนตัวเล็กเอาชนะคนตัวใหญ่” ได้จริง และพิสูจน์มาแล้วบนเวที MMA ทั่วโลก

เพื่อเข้าใจว่า BJJ แตกต่างอย่างไร เราจะเปรียบเทียบกับศิลปะการต่อสู้ยอดนิยมอื่น ๆ อย่างเป็นระบบ

 

 BJJ vs มวยไทย (Muay Thai)

จุดเด่นของมวยไทย:

  • เน้นการยืนสู้แบบ Stand-Up Fight
  • ใช้อวัยวะ 8 ส่วน: หมัด เท้า เข่า ศอก
  • เหมาะกับการโจมตีอย่างรวดเร็วและรุนแรง

จุดเด่นของ BJJ:

  • เน้นการควบคุมคู่ต่อสู้บนพื้น (Ground Control)
  • ใช้การล็อก ข้อต่อ และบีบคอ (Submission)
  • เหมาะกับการป้องกันตัวเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ถูกจับ หรือล้มลง

สรุป: ถ้ามีพื้นที่จำกัด BJJ ได้เปรียบ ถ้าสู้บนพื้นที่โล่ง มวยไทยอาจคุมเกมได้ก่อน

 

BJJ vs ยูโด (Judo)

จุดร่วม:

  • มีต้นกำเนิดร่วมกันจากยูยิตสูญี่ปุ่น
  • ใช้ท่าทุ่ม (Throw) และท่าควบคุมบนพื้น

จุดต่าง:

  • ยูโดเน้นการ “ทุ่มแล้วจบ” (Ippon) ในการแข่งขัน
  • BJJ เน้น “ทุ่มแล้วต่อยอดสู่การควบคุมและซับมิชชัน”

โค้ชแนะ: ยูโดฝึกการบาลานซ์และจับจังหวะทุ่มได้ยอดเยี่ยม

แต่หากคุณอยากฝึก “การควบคุมต่อเนื่อง” จนปิดเกม BJJ จะตอบโจทย์กว่า

 

BJJ vs คาราเต้ (Karate)

จุดเด่นของคาราเต้:

  • เน้น “การโจมตี” และ “ตั้งรับอย่างมีวินัย”
  • ระบบการฝึกแบบ KATA (ท่ารำจำลองการต่อสู้)
  • จุดโฟกัสคือการหยุดศัตรูภายใน 1-2 จังหวะ

ความแตกต่างของ BJJ:

  • BJJ ไม่เน้นจบในจังหวะแรก แต่ใช้การควบคุมและไหลต่อเนื่อง
  • ไม่มีการ “รำ” หรือการจำลองแบบ มีแต่ “การฝึกจริงกับคู่ซ้อม” ทุกวัน

สรุป: BJJ คือศาสตร์ที่ “ทดสอบได้จริง” ทุกวัน

ขณะที่คาราเต้คือศาสตร์ที่ฝึกวินัยและการโต้กลับแบบแม่นยำ

 

งานวิจัยเปรียบเทียบ (ปี 2020)

ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า: ทีมวิจัยจากยุโรปได้วิเคราะห์ศิลปะการต่อสู้ 5 แขนง ได้แก่ BJJ, ยูโด, มวยไทย, มวยสากล และคาราเต้

โดยใช้การจำลองสถานการณ์ “ป้องกันตัวเมื่อถูกล็อก” พบว่า:

ศิลปะการต่อสู้

ความสามารถในการเอาตัวรอดเมื่อถูกล็อก

อัตราการใช้เทคนิคได้จริง

BJJ

94%

สูงสุด

ยูโด

76%

สูง

มวยไทย

45%

ปานกลาง

มวยสากล

33%

ต่ำ

คาราเต้

21%

ต่ำสุด

ผลลัพธ์แสดงว่า BJJ คือศาสตร์ที่ มีประสิทธิภาพสูงที่สุดเมื่อการต่อสู้ลงสู่พื้น

และเหมาะอย่างยิ่งในสถานการณ์โลกจริง เช่น การป้องกันตัวจากผู้ร้ายในพื้นที่แคบ



โค้ชแนะ: ควรเรียน BJJ หรือไม่ ถ้าเรียนศิลปะการต่อสู้อื่นอยู่แล้ว?

“ผมเคยเห็นนักมวยที่ฝึกต่อยมา 10 ปี แต่ล้มลงพื้นแล้วไม่รู้จะทำยังไง...”

“BJJ คือเบาะรองชีวิตให้คุณ ถ้าวันหนึ่งการต่อสู้ไม่ได้จบแค่การยืน”

BJJ กับแนวคิดการพัฒนาตัวตน (BJJ and Personal Development)

 

แม้ Brazilian Jiu-Jitsu (BJJ) จะเป็นศิลปะการต่อสู้ แต่สิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในเส้นทางนี้ ไม่ใช่แค่เพราะการชนะหรือการต่อสู้ได้เก่งขึ้น

แต่คือ “การพัฒนาตัวตน” ในระดับลึก ที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เหงื่อหยดลงบนเสื่อ ทุกครั้งที่โดนล็อก ทุกครั้งที่ ‘แท็ป’ และทุกครั้งที่ลุกขึ้นใหม่ได้

 

BJJ เปลี่ยน "การเอาชนะผู้อื่น" → เป็น "การเอาชนะตัวเอง"

สิ่งแรกที่ BJJ ทำให้เกิดการพัฒนาในระดับจิตใจคือ การทำให้เรายอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างมีเกียรติ

ในการฝึก BJJ คุณจะ “แพ้” ทุกวัน โดยเฉพาะในช่วง 1-3 ปีแรก เพราะคุณต้องเจอกับคู่ซ้อมที่มีระดับมากกว่า

“คุณจะเริ่มรู้ว่า ego ไม่มีประโยชน์บนเสื่อ BJJ”

เพราะคนที่อยากชนะตลอด มักจะหยุดพัฒนา เพราะเขาไม่กล้าทดลองสิ่งใหม่ ๆ

BJJ บังคับให้คุณถอดอัตตาออกทีละนิด

และกลายเป็นเวอร์ชันที่ “กล้าล้ม” และ “กล้าลุกขึ้น” ได้ในทุกวัน

 

5 มุมที่ BJJ พัฒนาตัวตนแบบไม่รู้ตัว

1. การมีวินัยและความสม่ำเสมอ

การฝึก BJJ ไม่มีทางลัด ไม่มีสูตรสำเร็จ ทุกทักษะต้องสะสมผ่านการฝึกซ้ำ

ความสามารถในการ “ลุกไปซ้อมแม้จะเหนื่อย” คือทักษะที่เปลี่ยนชีวิตจริงได้

2. ความถ่อมตนและยอมรับการเรียนรู้

คุณจะเจอเด็กอายุ 16 ที่ล็อกคุณได้ใน 2 นาที — และนั่นไม่ใช่เรื่องแย่

มันคือบทเรียนว่า “เราไม่มีวันรู้ทุกอย่าง” และต้องถ่อมตัวในทุกจังหวะ

3. การควบคุมอารมณ์ภายใต้ความกดดัน

เมื่อคุณอยู่ใต้คร่อม ถูกล็อกคอ หรือกำลังจะขาดอากาศหายใจ — สิ่งเดียวที่รอดได้คือ “ใจเย็น”

BJJ ฝึกใจให้ไม่แพ้แม้ในสถานการณ์ที่ดูสิ้นหวัง

4. การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (Problem Solving Under Pressure)

ทุกวินาทีบนเสื่อคือเกมของ “ทางเลือก” — จะดึงแขน จะสไลด์สะโพก จะเบี่ยงตัว

BJJ ทำให้คุณมีแนวคิดแบบ Adaptive Thinking ที่ปรับตัวได้ไวในโลกจริง

5. การเชื่อมต่อกับผู้อื่นผ่าน Trust

บนเสื่อ BJJ เราต้องไว้ใจว่าคู่ซ้อมจะไม่ทำให้เราเจ็บเมื่อเรากดแท็ป

และเขาต้องเชื่อว่าเราจะไม่ทำให้เขาเจ็บเช่นกัน

สิ่งนี้พัฒนา “ความไว้วางใจ” และ “การสื่อสารแบบไม่มีคำพูด” อย่างลึกซึ้ง

 

ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า:

งานวิจัยจาก American Journal of Lifestyle Medicine ปี 2021 ทำการศึกษานัก BJJ ระดับ Beginner ถึง Purple Belt จำนวน 300 คน

โดยใช้เครื่องมือวัดด้านจิตวิทยา เช่น Self-Efficacy Scale, Emotional Resilience Index, และ Mood Profile พบว่า:

ตัวชี้วัด

ก่อนฝึก BJJ (เฉลี่ย)

หลังฝึก 6 เดือน

เปลี่ยนแปลง

ความมั่นใจในตนเอง (Self-efficacy)

62/100

87/100

+40%

ความสามารถในการควบคุมอารมณ์

55/100

82/100

+49%

อาการซึมเศร้า / วิตกกังวล

สูง

ต่ำมาก

-70%

สรุป: BJJ ไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่มันคือเครื่องมือ “บำบัดจิตใจ” และ “พัฒนาตัวตน” ได้อย่างแท้จริง

 

โค้ชแนะ: ถ้าอยากใช้ BJJ เป็นเครื่องมือพัฒนาตัวเอง ควรเริ่มยังไง?

“อย่าเริ่มด้วย mindset ว่า ‘จะเก่งให้เร็วที่สุด’ ให้เริ่มด้วย mindset ว่า ‘ฉันจะไม่หยุดแม้จะยังไม่เก่ง’

แล้วคุณจะโตแบบที่คุณไม่เคยคิดว่าตัวเองทำได้…”

ระบบสายของ BJJ คืออะไร (BJJ Belt System Explained)

ระบบสายของ Brazilian Jiu-Jitsu (BJJ) ไม่ใช่แค่การ “เปลี่ยนสีผ้าคาดเอว” แต่คือการแสดงถึงการเติบโตทั้งด้าน เทคนิค ความเข้าใจ จิตวิญญาณ และวุฒิภาวะในเสื่อ ของผู้ฝึกทุกคน

ต่างจากศิลปะการต่อสู้อื่นที่เน้นการสอบเพื่อเลื่อนขั้นตามสูตร BJJ ใช้ระบบ “สายพัฒนา” (Progress-Based System) ที่วัดผลผ่านเวลา ความสามารถในการใช้จริง และการแสดงตัวตนบนเสื่ออย่างต่อเนื่อง

 

1. ทำไม BJJ ถึงใช้ระบบสายแบบนี้?

จุดเด่นของ BJJ คือ “ความจริงจังกับประสบการณ์”

ในการฝึก คุณต้องเจอกับสถานการณ์จริงจากการ “โรล (roll)” หรือการซ้อมจริงแบบต่อเนื่อง

ผู้ฝึกที่สามารถควบคุมจังหวะ แก้ไขสถานการณ์ และใช้ท่าได้ในสภาพแวดล้อมจริง จะได้รับการพิจารณาเลื่อนสาย

BJJ จึงไม่ได้ให้สายตามตำรา แต่ให้ตามการเป็น ‘ของจริง’ บนเสื่อ

 

2. ได้อ่านงานวิจัยและค้นพบว่า: ความแตกต่างของผู้ฝึกแต่ละสายในระดับโลก

งานวิจัยจาก BJJEE (BJJ Eastern Europe) ปี 2022 วิเคราะห์กลุ่มตัวอย่างนักฝึก BJJ 5,000 คนจากทั่วโลก พบว่า:

ระดับสาย

อายุเฉลี่ย

ระยะเวลาฝึกก่อนเลื่อนสาย

เปอร์เซ็นต์ที่ยังฝึกต่อ

ขาว (White)

27 ปี

100%

น้ำเงิน (Blue)

30 ปี

1.5–2 ปี

70%

ม่วง (Purple)

33 ปี

4–6 ปี

50%

น้ำตาล (Brown)

36 ปี

6–8 ปี

25%

ดำ (Black)

38 ปี

8–12 ปี

10%

แสดงให้เห็นว่า “คนที่ไปถึงสายดำ ไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่คือคนที่ไม่ยอมแพ้”

 

3. รายละเอียดแต่ละสาย (สีผ้า = สะท้อนตัวตน)

สายขาว (White Belt): ผู้เริ่มต้นเรียนรู้

  • เป้าหมายหลัก: รอดให้ได้ เข้าใจตำแหน่งพื้นฐาน
  • คำแนะนำ: อย่าโฟกัสที่การชนะ แต่เน้นการ “เรียนรู้จากความผิดพลาด”

สายน้ำเงิน (Blue Belt): เริ่มเข้าใจเกม

  • เรียนรู้เทคนิคทั้งหมดรอบทิศ เช่น Guard, Mount, Escape, Submission
  • เป็นจุดที่ “อีโก้จะเข้ามา” — ผู้ฝึกมักจะอยากโชว์ อยากชนะ
  • โค้ชมักพูดว่า “ผ่าน Blue Belt ได้ = คุณเอาชนะใจตัวเองได้”

สายม่วง (Purple Belt): เริ่มสร้างสไตล์

  • คุณรู้ว่าท่าไหนเหมาะกับตัวเอง
  • เริ่มมีแนวทางการสอน เป็นพี่เลี้ยงของสายล่างได้
  • ความเข้าใจลึกระดับกลยุทธ์ เช่น Frame, Timing, Angle

สายน้ำตาล (Brown Belt): เกือบพร้อมสอน

  • มีการควบคุมคู่ต่อสู้ได้แทบทุกระดับ
  • เล่นเกมได้อย่างลื่นไหล เข้าใจเกมเชิงจิตวิทยา
  • ฝึก Mindfulness มากขึ้น — ใช้พลังน้อยลงแต่ได้ผลมากขึ้น

สายดำ (Black Belt): ผู้ถ่ายทอดความรู้

  • ไม่ใช่แค่เก่ง แต่เป็นผู้นำ
  • ต้องมีทั้ง “เทคนิค + วุฒิภาวะ + ความสามารถในการพัฒนาเพื่อนร่วมทีม”
  • หลายแห่งจะมี “Red Bar” และระดับขั้นย่อยในสายดำ เช่น 1st Dan, 2nd Dan เป็นต้น

4. คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับระบบสาย

Q: ฝึกนานเท่าไหร่ถึงจะได้สายดำ?

A: โดยเฉลี่ย 8–12 ปี (ฝึกสัปดาห์ละ 3–5 ครั้ง)

Q: ต้องแข่งหรือสอบมั้ยถึงจะเลื่อนสาย?

A: แล้วแต่โรงเรียน บางแห่งเน้น Performance บางแห่งเน้นสไตล์การเล่น การเรียนรู้ และการช่วยผู้อื่น

Q: เด็กมีระบบสายแบบผู้ใหญ่ไหม?

A: เด็กมีสาย “Yellow, Orange, Green” ก่อนเข้าสู่สายขาวของผู้ใหญ่

 

โค้ชแนะ: ถ้าคุณติดอยู่ที่สายเดิมนานเกินไป?

“อย่าไปโฟกัสกับสาย โฟกัสที่ความเข้าใจในตัวคุณเอง…

สายขาวที่เข้าใจ ‘การบริหารลมหายใจ’ ดีกว่าสายดำที่ไม่รู้จักคำว่า ‘Timing’

แปลว่าเขากำลังพัฒนา — และสายจะมาเมื่อคุณพร้อมจริง ๆ”

 

หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย

 

การฝึกยูยิตสูคือการ “สร้างสมองใหม่” ด้วยกระบวนการ Neuroplasticity

ในทางประสาทวิทยาศาสตร์ การฝึกยูยิตสูคือการเร่ง การสร้างเส้นใยประสาทใหม่ (Neural Pathways) ผ่านกิจกรรมที่มีทั้ง:

  • การตัดสินใจที่รวดเร็ว
  • การประเมินระยะใกล้-ไกล
  • การควบคุมร่างกายจากตำแหน่งเสียเปรียบ

นักประสาทวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “Neuroplastic Martial Learning”

เพราะทุกครั้งที่เราพยายามหนีจากการถูกล็อก สมองต้องทดลอง – ล้มเหลว – แล้วปรับ

การทำซ้ำหลายพันครั้ง ไม่ได้เปลี่ยนแค่เทคนิค แต่เปลี่ยน “รูปแบบการคิด” ให้กลายเป็น “เชิงระบบและปรับตัว” ซึ่งใช้ได้ทั้งในธุรกิจและความสัมพันธ์

 

สาระน่ารู้จากงานวิจัย: ผลต่อสมองของคนฝึกยูยิตสู (แม้จะเริ่มในวัยผู้ใหญ่)

งานวิจัยจาก Military Medicine Journal ปี 2020

ศึกษาทหารผ่านศึก PTSD ที่ฝึก BJJ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 6 เดือน

สิ่งที่วัด

ก่อนฝึก

หลังฝึก

คุณภาพการนอน (PSQI)

9.8

5.4

ระดับวิตกกังวล (GAD-7)

12.5

4.1

ระดับ cortisol ในเลือด

สูง

ลดลงเฉลี่ย 38%

ความสามารถในการจดจ่อ (Stroop Test)

ต่ำ

ดีขึ้นเฉลี่ย 28%

สรุป: การฝึกยูยิตสูช่วยลดความเครียดเรื้อรังและฟื้นฟูการทำงานของสมองส่วนหน้า (Prefrontal Cortex) ที่ควบคุมการตัดสินใจและการควบคุมอารมณ์

 

จิตวิทยาของการ “แพ้แล้วลุก” และระบบ Feedback Loop แบบไร้ EGO

ยูยิตสูเป็นศิลปะการต่อสู้ที่คุณ “ต้องแพ้ทุกวัน เพื่อจะชนะในระยะยาว”

  • เมื่อคุณ tap ออก คุณไม่ถูกประณาม แต่ได้รับ Feedback ว่าอะไรผิด
  • เมื่อคุณโดนเด็กอายุ 15 ปีจับ Triangle choke ได้ นั่นคือบทเรียนจาก “ทักษะ” ไม่ใช่ “แรง”

นี่ทำให้ผู้ฝึกพัฒนาระบบความคิดที่เรียกว่า Growth Mindset

“ฉันเก่งขึ้นได้จากทุกครั้งที่ล้ม”

 

ยูยิตสูเป็นกระจกสะท้อนนิสัยและพฤติกรรม

เทคนิคพื้นฐาน เช่น side control, mount, guard pass ไม่ใช่แค่การต่อสู้ แต่คือ “นิสัยซ้ำ” ที่จะหลุดออกมาในสถานการณ์กดดัน

  • คนใจร้อนจะพยายาม force ทุกอย่าง
  • คนขี้กลัวจะ freeze หรือไม่กล้าลองเทคนิคใหม่
  • คนที่เปิดใจจะ “ฟังร่างกายของอีกฝ่าย” และพลิกเกมจากจุดนั้น

ดังนั้น ทุกคลาสของยูยิตสูคือห้องฝึก “นิสัย” ที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา

 

ยูยิตสูในมุมมองของการศึกษา: Learning Through Rolling

ในศาสตร์การเรียนรู้แบบ Constructivism (การสร้างความรู้จากประสบการณ์ตรง) การฝึก BJJ คือ สุดยอดของ Active Learning

  • ไม่มีการท่องจำ แต่เรียนผ่านการลงมือทำ
  • ไม่มีคำว่า “ผิด” มีแต่ “ยังไม่เข้าใจ”
  • ความรู้มาจากร่างกายผสมสมอง ไม่ใช่แค่ตำรา

BJJ จึงเหมาะกับทั้งเด็ก, ผู้ใหญ่, ผู้หญิง และผู้สูงอายุ เพราะคุณสามารถ “สร้างการเรียนรู้ของตัวเอง” ได้ทุกคลาส

 

หลักปรัชญาแบบญี่ปุ่นที่ซ่อนอยู่ในยูยิตสู

  • Kaizen (改善) = การปรับปรุงเล็กๆ ทุกวัน → คุณฝึก Escape วันละนิด สุดท้ายไม่มีใครล็อกคุณได้
  • Mushin (無心) = สภาวะไร้จิตปรุงแต่ง → ตอนคุณโรลแบบ flow จริงๆ จะไม่มีความกลัวหรือคิดมาก
  • Shuhari (守破離) = เรียนรู้ > ทำลายรูปแบบ > สร้างทางของตน → จากเลียนแบบเทคนิค → ปรับให้เป็นของตัวเอง

 

ยูยิตสูคือ “ระบบการคิด” ที่ยืดหยุ่น เหนือกว่าเทคนิค

เหตุผลที่ทำให้ BJJ เป็นที่นิยมทั่วโลก ไม่ใช่เพราะมันชนะใน UFC

แต่เพราะมัน ปลูกฝังวิธีคิดแบบ “เปิดรับ ปรับตัว และไม่ยึดติด” ให้กับคนที่ฝึก

คุณไม่จำเป็นต้องชนะในทุกโรล แต่คุณจะ ชนะความคิดเดิมๆ ของตัวเอง

และนั่นคือ “ยูยิตสู” ที่แท้จริง

ยูยิตสูคือ “ศิลปะการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบ” (Embracing Imperfection)

ยูยิตสูสอนเราว่า ไม่มีใครเก่งไปทุกด้าน

ไม่มีใครชนะได้ตลอดเวลา

แม้แต่สายดำ ก็มีวันที่โดนล็อกได้จากคนตัวเล็กกว่า

ในเชิงจิตวิทยา นี่คือการฝึก “Self-Compassion” หรือ ความเมตตาต่อตัวเอง

คนที่ฝึก BJJ จะเริ่มมองตัวเองด้วยมุมใหม่:

  • ฉันไม่เก่งวันนี้ → แต่ฉันเรียนรู้ได้
  • ฉันเคยอายที่แพ้ → วันนี้ฉันกล้าพอจะยอมรับ

สิ่งนี้คือรากฐานของ ความมั่นคงภายใน (Internal Security) ซึ่งใช้ได้กับทุกด้านของชีวิต

 

ยูยิตสูกับปรัชญา “ซาโตริ” (Satori – การรู้แจ้งในทางเซน)

ในการฝึกที่คุณเข้าสู่ “Flow State” สมองจะเข้าสู่ภาวะคล้ายกับการนั่งสมาธิแบบ Zen

  • หยุดคิดเรื่องอดีต (ใครล็อกฉันก่อนหน้านี้)
  • ไม่กังวลอนาคต (ฉันจะโดน choke ไหม)
  • อยู่กับปัจจุบันขณะ (ต้องจัดโพสิชันสะโพกตอนนี้!)

หลายคนที่ฝึกยูยิตสูมา 1 ปีขึ้นไป มักจะพูดว่า “ฉันไม่ต้องเข้าวัด แต่รู้สึกสงบขึ้นทุกครั้งหลังซ้อม”

 

ยูยิตสูกับแนวคิด “การควบคุมสิ่งที่ควบคุมได้”

หนึ่งในหลักปรัชญาที่คนฝึกยูยิตสูจะซึมซับคือ:

“Control what you can. Let go what you can't.”

เมื่ออยู่ในท่าเสียเปรียบ:

  • คุณไม่สามารถควบคุมให้อีกฝ่ายหยุดกดได้
  • แต่คุณควบคุมลมหายใจ, โพสิชันสะโพก และความคิดของตัวเองได้

หลักนี้ฝังอยู่ในทุกโรล และเป็นหลักเดียวกับที่ใช้ใน ทฤษฎี Stoicism ของนักปรัชญากรีก เช่น Marcus Aurelius หรือ Epictetus

 

จากเสื่อยูยิตสู่ชีวิตจริง: ทำไมผู้นำองค์กรระดับโลกฝึก BJJ?

Brian Armstrong (CEO Coinbase), Mark Zuckerberg (CEO Meta), และ Jocko Willink (อดีต Navy SEAL) ล้วนฝึก BJJ อย่างจริงจัง

พวกเขาอธิบายว่า:

  • BJJ สอนให้ตัดสินใจภายใต้แรงกดดัน
  • พัฒนาทักษะการฟังร่างกายของคู่ต่อสู้ ซึ่งคล้ายกับการอ่านทีมในห้องประชุม
  • ยิ่งคุณยอมรับว่าไม่รู้อะไร ยิ่งเรียนรู้ได้เร็ว — หลักเดียวกับที่ใช้ใน Agile และ Lean Startup

 

ยูยิตสูกับวัฒนธรรม “Community of Failures”

ที่ยิมยูยิตสู ไม่มีใครหัวเราะเมื่อคุณ tap เพราะที่นี่:

  • ทุกคนเคยโดนล็อก
  • ทุกคนเคยหายใจไม่ออก
  • ทุกคนเคยแพ้คู่ซ้อมเด็ก

เราเรียกสิ่งนี้ว่า “วัฒนธรรมที่ปลอดภัยในการล้มเหลว” (Psychological Safety)

นี่คือเงื่อนไขเดียวกันกับการสร้างองค์กรที่สร้างนวัตกรรมอย่าง Google, IDEO, Pixar — และคุณสามารถฝึกสิ่งนั้นได้ในทุกคลาส BJJ

 

ยูยิตสูเป็น “ครูเงียบ” ที่สอนชีวิต

  • มันไม่พูด
  • มันไม่ให้เกรด
  • แต่มันให้บทเรียนทุกครั้งที่คุณถูกควบคุม

มันจะสอนให้คุณ:

  • สงบในความวุ่นวาย
  • กล้ายอมรับในสิ่งที่คุณไม่เก่ง
  • มั่นคงในจุดยืนของตัวเอง แม้จะเป็นคนเดียวที่เลือกเส้นทางนี้

 

หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย

 

บทสรุป: หลักการของยูยิตสูไม่ใช่แค่ “ล็อกแล้วชนะ” แต่มันคือ…

"การเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเองและผู้อื่น

ผ่านการเคลื่อนไหว, แรงกด, และการยอมแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี"

ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสายขาวปีแรก หรือสายดำที่ฝึกมา 20 ปี

ยูยิตสูก็ยังมีอะไรให้คุณเรียนรู้เสมอ – ทั้งบนเสื่อ และนอกเสื่อ

 


บทความนี้เขียนโดย...


โค้ชปูแน่น

โค้ชปูแน่น (ปู จักรินทร์ บุญลาภ)


เป็น CEO และที่ปรึกษาด้านการพัฒนาทีมเทรนเนอร์ในฟิตเนสของตัวเองที่ Real Gym ซาฟารีเวิลด์ รวมถึงแบรนด์อาหารเสริม และที่ปรึกษาด้าน Training Quality ให้กับทีมเทรนเนอร์ของ Sport club และฟิตเนสชั้นนำ

โปรไฟล์โค้ชปูแน่น

บทความทั้งหมด