การกิน คีโต จัดเป็นเทรนด์ลดความอ้วนสุดคูลที่ได้รับความนิยมตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยที่ออกมารีวิวผลลัพธ์สุดตื่นตาหลังทำจนคุณเชื่อว่าจะลดความอ้วนโดยไม่ออกกำลังกายก็ยังได้ ทว่าเราควรตั้งคำถามว่าวิธีเหล่านี้จะให้สุขภาพกายและจิตที่ยั่งยืนได้จริงหรือไม่ Homefittools จะพาคุณล่วงรู้คำตอบและข้อควรระวังในการ กินคีโต โดยเริ่มต้นจากการเข้าใจว่า คีโต คืออะไร และวิธีการกินคีโตที่ถูกต้องนั้นเป็นอย่างไร การกินคีโตไม่ใช่เพียงแค่การลดน้ำหนัก แต่ยังเกี่ยวข้องกับการปรับสมดุลของร่างกายและการเลือกอาหารที่มีผลต่อสุขภาพในระยะยาว เพื่อให้การลดน้ำหนักด้วยการกินคีโตมีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อสุขภาพในระยะยาว เราจึงควรศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างถูกต้อง.
คีโต (Ketogenic diet) คือการกินรูปแบบหนึ่งที่เน้นโปรตีนและไขมันเป็นหลัก โดยลดสัดส่วนคาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักที่ร่างกายให้น้อยลง หากร่างกายขาดเชื้อเพลิงหลักคอยขับเคลื่อนให้ระบบทั้งมวลในร่างกายทำงานต่อไป เมื่อนั้นเองที่ร่างกายจะเริ่มหยิบไขมันซึ่งเปรียบเสมือน ‘แหล่งพลังงานสำรอง’ มาใช้เพื่อรักษาสมดุลร่างกายให้ดำรงชีพต่อไป
แม้ว่าการไดเดทและการอดอาหารจะเกิดขึ้นมานานนับแต่ 500 ปีก่อนคริสตกาล ทว่าในวงการแพทย์สมัยใหม่ Ketogenic diet กลับกลายเป็นวิถีการกินที่พัฒนาต่อยอดจนได้รับความนิยมสำหรับบรรเทาโรคลมบ้าหมู (Epilepsy) ในช่วง ค.ศ. 1920 เป็นต้นมา การรักษาเช่นนี้ดำเนินไปจวบจนปลายศตวรรษที่ 20 ก็เริ่มซ่างซาไปตามกาล เมื่อเราต่างค้นพบหนทางรักษาอย่างยากันชักและการผ่านตัด
กระทั่งกระแสความสนใจการกินคีโตเริ่มกลับมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้คนร่วมกับเหล่านักวิทยาศาสตร์สุขภาพทั้งหลายจึงต่างต้องการทดลองทดสอบจนล่วงรู้ถึงประสิทธิภาพการทำงานของมัน แม้ว่าการกินคีโตจะเป็นวิถีบำบัดโรคลมบ้าหมูชนิดรักษายากอยู่บ้างตามสถานพยาบาลในปัจจุบัน ทว่าการกินแบบ Ketogenic diet ว่าได้ผลดีหรือผลเสียมากกว่ากันยังคงเป็นปริศนาให้เราชวนคิดต่อไป
อย่างไรก็ตาม บางคนอาจหลงลืมว่าอาหารแบบใดจัดเป็นคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันบ้าง เพื่อให้เข้าใจกระจ่างชัดขึ้น เราจึงหยิบบทเรียนเก่ามาทบทวนใหม่เพื่อใช้พิจารณาให้ละเอียดยิ่งขึ้น
หลายคนคงเคยได้ยินคนรอบข้างที่ผ่านประสบการณ์ทำคีโตว่าสามารถลดน้ำหนักได้เร็วอย่างฮวบฮาบโดยไม่ออกกำลังกายตั้งแต่เริ่มทำใหม่ ๆ จนเชื่อว่ามันเป็นสุดยอดวิธีลดหุ่นที่เกิดมาเพื่อคุณ อย่างไรก็ดี ทำได้ไง ก็อาจเป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจใครหลายอยู่เหมือนกัน ซึ่งล้วนแล้วต้องอาศัยปัจจัยอื่นร่วมด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ผู้เขียนใช้ข้อมูลจาก BBC News ไทย (2018) จนสรุปปัจจัยโดยรวมไว้ 7 ประการ ดังต่อไปนี้
แน่นอนว่าการกินคีโตที่ใช้ควบคู่กับการออกกำลังกายมีหลากหลายแนว ทว่าที่นิยมมากที่สุดมี 2 สูตรด้วยกัน ได้แก่ Cyclical Ketogenic diet และ Targeted ketogenic diet plan (TKDP)
เป็นรูปแบบการกินคีโตที่เน้นปรับสัดส่วนคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ยวันละ 20 - 50 กรัม/วัน โดยเป็นระดับที่เหมาะสมจนก่อเกิดกระบวนการ ‘คีโตสิส’ (Ketosis) ก่อนจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นในอีก 1 – 2 วันสุดท้ายก่อนสิ้นสัปดาห์เพื่อรักษาสมดุลร่างกายจากการขาดกลูโคส อย่างไรก็ตาม ระหว่าง Cyclical Ketogenic Diet ควรควบคุมการกินไขมันดีที่เหมาะสมในปริมาณ 60 – 90% เพื่อประสิทธิภาพการลดไขมันและคงสภาพมวลกล้ามเนื้อในร่างกาย ทั้งยังลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงอย่าง Keto Flu ซึ่งผู้เป็นจะรู้สึกคลื่นไส้ ปวดหัว อ่อนเพลีย ท้องผูก ร่วมกับภาวะหงุดหงิดและนอนหลับยาก
อีกรูปแบบการกินคีโตที่เน้นเสริมประสิทธิภาพการออกกำลังกายแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training) ด้วยหลักการกินคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ย 25 - 50 กรัม/วัน ก่อนเพิ่มสัดส่วนการกินมากยิ่งขึ้นในช่วง 30 นาทีก่อนออกกำลังกายเพื่อเป็นแหล่งเชื้อเพลิงที่สามารถหยิบใช้ได้อย่างรวดเร็ว (จะให้ดีควรเป็นอาหารเหลวที่มีอานุภาพดูดซึมไปใช้งานได้เร็ว) จึงเหมาะกับทั้งมือใหม่และมือโปรที่ไม่สะดวกกินแบบแรก
แม้ว่าการ กินคีโต จะมีข้อดีหลากหลายอย่างที่เห็นได้ตามโฆษณาทั่วไป ทว่าสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือการคิดคำนึงถึงผลเสียและความเสี่ยงที่ตามมา หลายครั้งมักมีผู้ทำ คีโต ประสบปัญหาคอเลสเตอรอลในเลือดสูงและภาวะแทรกซ้อนอื่นตามมา ทว่าหากใครต้องการลองทำจริง สิ่งแรกที่ช่วยเหลือคุณได้คือการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ร่วมกับการเลี่ยงการกินอาหารไขมันอิ่มตัวโดยเลือกอาหารทะเลคอยทดแทนพร้อมเสริมวิตามินและเกลือแร่ให้พอเหมาะจะสร้างสมดุลแก่ร่างกายให้คงอยู่ยืนนาน