การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ (Cardio Exercise) เป็นหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายยอดนิยมที่ได้ผลจริงในการเผาผลาญไขมัน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักหรือลดไขมัน ในบทความนี้ ผม โค้ชปูแน่น - ปู จักรินทร์ บุญลาภ ACE Certified Personal Trainer จะมาแชร์ความรู้และประสบการณ์การเป็นเทรนเนอร์กว่า 13 ปี เกี่ยวกับการทำคาร์ดิโออย่างถูกวิธี

คาร์ดิโอหรือการออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise) เป็นการออกกำลังกายที่เน้นการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจให้สูงขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานและไขมันในร่างกาย
เมื่อคุณทำคาร์ดิโอ ร่างกายจะใช้พลังงานจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะไขมันสะสม ทำให้เกิดการเผาผลาญแคลอรี่จำนวนมาก ตามการศึกษาของ American Heart Association พบว่าการทำคาร์ดิโอ 30 นาทีต่อวัน สามารถช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ เบาหวาน และช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ คาร์ดิโอยังช่วยเพิ่มความทนทานของระบบหัวใจและหลอดเลือด กระตุ้นการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ช่วยให้อารมณ์ดี และยังเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน
จากประสบการณ์การเทรนลูกค้ามากว่า 1,000 คน ผมพบว่าคาร์ดิโอแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักตามความเข้มข้นของการออกกำลังกาย
เหมาะสำหรับมือใหม่ เน้นการออกกำลังกายความเข้มข้นต่ำแต่ทำต่อเนื่อง เช่น การเดินเร็ว ปั่นจักรยานเบาๆ หรือว่ายน้ำแบบผ่อนคลาย
ที่เพิ่มความเข้มข้นขึ้นมาระดับกลาง ตามงานวิจัยจาก Journal of Sports Science พบว่าเป็นโซนที่เผาผลาญไขมันได้ดีที่สุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานการออกกำลังกายพอสมควร เช่น การวิ่งความเร็วปานกลาง หรือเต้นแอโรบิก
เป็นการออกกำลังกายสลับความเข้มข้นสูงและต่ำ การศึกษาจาก International Journal of Exercise Science พบว่าสามารถเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการทำคาร์ดิโอแบบปกติถึง 25-30% แต่เหมาะสำหรับผู้ที่มีพื้นฐานร่างกายที่ดีแล้วเท่านั้น
การทำคาร์ดิโอให้ได้ผลดีนั้น เริ่มต้นจากการเลือกระยะเวลาที่เหมาะสม โดยทั่วไปแนะนำให้ทำคาร์ดิโอ 30 นาที ต่อครั้ง หากเป็นมือใหม่สามารถเริ่มจาก 15-20 นาทีก่อนได้ แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาขึ้น การศึกษาจาก National Academy of Sports Medicine ระบุว่าการทำคาร์ดิโออย่างน้อยสัปดาห์ละ 150 นาที จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
สำหรับเรื่องความถี่ ผมแนะนำให้ทำคาร์ดิโอสัปดาห์ละ 3-5 วัน โดยแต่ละครั้งควรรักษาอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ที่ 60-80% ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเริ่มต้นทำคาร์ดิโออย่างถูกต้องเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ จากประสบการณ์การเทรนลูกค้ามือใหม่มากกว่า 500 คน ผมพบว่าการเริ่มต้นด้วยท่าพื้นฐานจะช่วยให้ร่างกายปรับตัวและลดความเสี่ยงบาดเจ็บ
เริ่มต้นด้วยการเดิน 10 นาทีแรก ให้เดินในจังหวะปกติ จากนั้นค่อยๆ เพิ่มความเร็วในช่วง 10-20 นาทีต่อมา พยายามรักษาความเร็วให้สม่ำเสมอ ท่านี้เหมาะสำหรับการลดน้ำหนักและสร้างความทนทาน
หากทำที่ฟิตเนส ให้ปรับความชันของลู่วิ่งที่ 1-2% ในช่วงแรก เดินต่อเนื่อง 15-20 นาที ท่านี้จะช่วยเผาผลาญไขมันได้มากกว่าการเดินบนพื้นราบถึง 30%
ปั่นจักรยานที่ความต้านทานระดับ 3-4 นาน 20 นาที ให้รักษาความเร็วรอบที่สามารถพูดคุยได้ ท่านี้เป็นคาร์ดิโอที่เหมาะกับผู้มีปัญหาข้อเข่า
ทำ 3 เซ็ต เซ็ตละ 10-15 ครั้ง พักระหว่างเซ็ต 45-60 วินาที
Tips! จากโค้ชปูแน่น หายใจเข้าตอนลงสู่ท่า Plank หายใจออกตอนกระโดดขึ้น
ทำต่อเนื่อง 30 วินาที พัก 15 วินาที ทำ 4-5 รอบ
Tips! รักษาแกนกลางลำตัวให้แข็งแรง เข่าควรแตะใกล้ข้อศอก หลีกเลี่ยงการแอ่นหลังหรือสะโพกสูง
พัก 15 วินาที
Tips จากโค้ชปูแน่น รักษาแกนกลางลำตัวให้มั่นคง ลงน้ำหนักที่ปลายเท้า เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วแต่ควบคุมได้ หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
ทำ 3-4 รอบ พักระหว่างรอบ 30-45 วินาที
1.Russian Twist ผสม High Knees
วิธีการทำ Russian Twist ผสม High Knees เพื่อลดหน้าท้อง
Tips ! Russian Twist ไม่เกร็งคอ รักษาหลังตรง พัก 15 วินาที แล้วต่อด้วย
ทำสลับกัน 3-4 รอบ พักระหว่างรอบ 30 วินาที
Tips ! High Knees ลงน้ำหนักที่ปลายเท้า หลีกเลี่ยงการกระแทก
2.Plank with Knee Tucks
ขั้นตอนการทำ
โค้ชปูแน่นบอกเคล็ดลับ ! รักษาแกนกลางลำตัวให้นิ่ง, หลีกเลี่ยงการแอ่นหรือแอ่นหลัง, เข่าควรแตะใกล้ข้อศอก, หายใจสม่ำเสมอ ทำ 3 เซต พักระหว่างเซต 30 วินาที
3.Standing Side Crunches
ท่าเริ่มต้น
ขั้นตอนการทำ
โค้ชปูแน่นบอกเคล็ดลับ ! ทำข้างละ 15 ครั้ง, 3 เซต พักระหว่างเซต 30 วินาที, อย่าดึงคอ, รักษาหลังตรง, เคลื่อนไหวช้าๆ ควบคุมจังหวะ, หายใจออกขณะบิดตัว หายใจเข้าขณะกลับท่า
คาร์ดิโอลดขา
1.Squat Jumps - ท่ากระโดดย่อเข่า
ขั้นตอนการทำ
โค้ชปูแน่นบอกเคล็ดลับ ! ทำ 3 เซต เซตละ 10-15 ครั้ง, พัก 45 วินาที, ลงพื้นเบาๆ ด้วยปลายเท้า, รักษาหลังตรง, เข่าตรงแนวนิ้วเท้า, ถ้าเป็นมือใหม่เริ่มจากกระโดดเตี้ยๆ ก่อนครับ
2.Lunges with Knee Drive - ท่าก้าวขาพร้อมยกเข่า
ขั้นตอนการทำ
โค้ชปูแน่นบอกเคล็ดลับ ! ทำข้างละ 12-15 ครั้ง, 3 เซต พักระหว่างเซต 30-45 วินาที, รักษาหลังตรง, เข่าหน้าไม่เลยปลายเท้า, ยกเข่าสูงให้สุดเพื่อเพิ่มการเผาผลาญ, หายใจสม่ำเสม
3.เดินชันบนลู่วิ่งที่ความชัน 8-12%
การเดินชันบนลู่วิ่งเป็นหนึ่งในท่าคาร์ดิโอที่ช่วยลดขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ การปรับความชันที่ 8-12% จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่และกระชับกล้ามเนื้อขาได้มากกว่าการเดินปกติถึง 60%
จากประสบการณ์การเทรน ผมแนะนำให้เริ่มที่ความเร็ว 4-5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความชัน 8% เป็นเวลา 10 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มความชันขึ้นเป็น 10% และ 12% ตามลำดับ ทำต่อเนื่อง 20-30 นาที
สำหรับมือใหม่ ควรเริ่มที่ความชัน 5-6% ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น ระหว่างเดินให้เกร็งท้อง ตั้งลำตัวตรง ไม่จับราวลู่วิ่ง เพื่อให้ร่างกายทำงานเต็มที่ ท่านี้จะช่วยเผาผลาญไขมันที่ต้นขา น่อง และสะโพกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1.Shadow Boxing - ต่อยมวยกับเงาเพื่อลดต้นแขน
ขั้นตอนการทำ
โค้ชปูแน่นบอกเคล็ดลับ ! ทำต่อเนื่อง 2-3 นาที, พัก 30 วินาที, ทำ 3 รอบ, เกร็งท้องตลอดการชก, หมุนเอวตามจังหวะ, หายใจออกเมื่อชก, ชกเร็วแต่ควบคุมได้
2.Push-up with Shoulder Taps - วิดพื้นแตะไหล่
ขั้นตอนการทำ
โค้ชปูแน่นบอกเคล็ดลับ ! ทำ 3 เซต เซตละ 8-12 ครั้ง, พัก 45 วินาที, รักษาแกนลำตัวนิ่ง, ไม่บิดสะโพก, แตะไหล่เบาๆ แต่มั่นคง, หายใจออกตอนดันขึ้น หายใจเข้าตอนลง
3.Arm Circles with Light Weights - หมุนแขนลดต้นแขน
ขั้นตอนการทำ
โค้ชปูแน่นบอกเคล็ดลับ ! ทำ 3 รอบ, พัก 30 วินาที, เริ่มจากน้ำหนักเบา, ไม่ล็อคข้อศอก, รักษาไหล่ให้นิ่ง, หยุดทันทีถ้ารู้สึกเจ็บไหล่, หมุนช้าๆ ควบคุมได้
คำถามที่ผมเจอบ่อยคือ "คาร์ดิโอหรือเวทเทรนนิ่ง ควรเลือกแบบไหน?" ความจริงแล้วทั้งสองอย่างมีประโยชน์แตกต่างกัน โดยเวทเทรนนิ่ง (Weight Training) จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มอัตราการเผาผลาญพื้นฐาน ในขณะที่คาร์ดิโอจะช่วยเผาผลาญไขมันและเสริมสร้างระบบหัวใจและหลอดเลือด
สิ่งสำคัญคือการจัดสรรเวลาให้เหมาะสม หากคุณต้องการทำทั้งคาร์ดิโอและเวทเทรนนิ่งในวันเดียวกัน ผมแนะนำให้เริ่มด้วยเวทเทรนนิ่งก่อน เพราะจะช่วยให้กล้ามเนื้อมีพลังงานเพียงพอในการยกน้ำหนัก แล้วค่อยตามด้วยคาร์ดิโอ 20-30 นาทีเพื่อเผาผลาญไขมันครับ

การทำคาร์ดิโอให้ได้ผลดีนั้น จำเป็นต้องเข้าใจทั้งเรื่องระยะเวลา ความถี่ และการเผาผลาญพลังงาน จากประสบการณ์ผมพบว่าหลายคนมักทำผิดพลาด จึงอยากแชร์วิธีที่ถูกต้องดังนี้
การทำคาร์ดิโอ 30 นาทีต่อครั้งถือเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะร่างกายจะเริ่มเผาผลาญไขมันหลังจากนาทีที่ 20 เป็นต้นไป สำหรับมือใหม่แนะนำให้เริ่มจาก 15-20 นาทีก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลา โดยสังเกตอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ที่ 60-80% ของอัตราสูงสุด
จากการวิจัยของ American College of Sports Medicine พบว่า การทำคาร์ดิโอสัปดาห์ละ 3-5 วัน เป็นความถี่ที่เหมาะสมที่สุด โดยควรเว้นระยะพัก 1 วันระหว่างการออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู คาร์ดิโอมากเกินไปอาจทำให้กล้ามเนื้อสลายและเสี่ยงบาดเจ็บได้
การทำคาร์ดิโอ 30 นาที สามารถเผาผลาญพลังงานได้ดังนี้:
โค้ชปูแน่นแนะนำ ! ควรทานอาหารก่อนทำคาร์ดิโอ 2 ชั่วโมง, ดื่มน้ำให้เพียงพอ, วอร์มอัพ 5-10 นาที และคูลดาวน์หลังเสร็จทุกครั้ง เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ควรทำคาร์ดิโอนานแค่ไหนต่อครั้ง?
ผู้ใหญ่ควรทำ 150 นาทีต่อสัปดาห์ แบ่งเป็น 20-30 นาทีต่อครั้ง อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์
คาร์ดิโอตอนท้องว่างดีไหม?
สามารถทำได้ แต่ควรกินอาหารเบาๆ 1-2 ชั่วโมงก่อนออกกำลังกายเพื่อให้มีพลังงานเพียงพอ
คาร์ดิโอช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่?
ช่วยได้เมื่อทำร่วมกับการควบคุมอาหาร เพราะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ 400-600 แคลอรี่ต่อชั่วโมง
ควรทำคาร์ดิโอก่อนหรือหลังเวทเทรนนิ่ง?
ขึ้นกับเป้าหมาย หากต้องการเน้นกล้ามเนื้อให้ทำหลังเวท แต่ถ้าเน้นลดไขมันให้ทำก่อนเวท
มือใหม่ควรเริ่มต้นคาร์ดิโออย่างไร?
เริ่มจากการเดินเร็ว 10-15 นาที แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลาและความเข้มข้น
คาร์ดิโอทุกวันอันตรายไหม?
ควรมีวันพัก 1-2 วันต่อสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัว
อาการแบบไหนที่ควรหยุดทำคาร์ดิโอ?
เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก วิงเวียนศีรษะ หรือปวดข้อรุนแรง
คาร์ดิโอแบบไหนเผาผลาญแคลอรี่ดีที่สุด?
HIIT (High-Intensity Interval Training) เผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าคาร์ดิโอแบบปกติ 25-30%
ควรดื่มน้ำระหว่างคาร์ดิโอหรือไม่?
ควรดื่มน้ำ 200-300 มล. ทุก 15-20 นาทีระหว่างออกกำลังกาย
คาร์ดิโอมีผลข้างเคียงหรือไม่?
อาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อ เหนื่อยล้า หรือบาดเจ็บได้หากทำหนักเกินไปหรือไม่อบอุ่นร่างกาย
คาร์ดิโอเป็นการออกกำลังกายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม ทั้งการเผาผลาญไขมัน เสริมสร้างระบบหัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย ผู้เริ่มต้นควรเริ่มจากความเข้มข้นต่ำแล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น ทำอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 150 นาที พร้อมทั้งพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำระหว่างออกกำลังกาย และหยุดทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ การทำคาร์ดิโออย่างถูกวิธีจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย