ระบบสายเข็มขัดในยูยิตสูคืออะไร?
พูดถึง Brazilian Jiu-Jitsu หรือที่คนในวงการนิยมเรียกกันง่ายๆ ว่า BJJ สิ่งแรกที่ทุกคนมักจะนึกถึงก็คือ “ระบบสายเข็มขัด” ซึ่งถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆ มันก็เหมือนกับการเลื่อนขั้นในศิลปะป้องกันตัวทั่วไปนี่แหละครับ แต่ที่พิเศษกว่าใน BJJ คือทุกสายเข็มขัดมีความหมาย และการเดินทางไปถึงแต่ละสายก็เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกันมากมาย
หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย
จุดเริ่มต้นของระบบสายใน BJJ
ถ้าจะเล่าย้อนหลังให้ฟังกันแบบง่ายๆ จุดกำเนิดของระบบสายใน BJJ มีที่มาจากญี่ปุ่นครับ เริ่มต้นจาก Mitsuyo Maeda หรือที่รู้จักกันในชื่อ Count Koma ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ Jigoro Kano ผู้ก่อตั้งวิชายูโด เขาได้นำศิลปะป้องกันตัวที่เป็นการผสมผสานระหว่างยูโดกับยูยิตสูแบบดั้งเดิมมาเผยแพร่ที่บราซิลในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
ต่อมา Carlos Gracie และ Helio Gracie ซึ่งเป็นผู้รับการถ่ายทอดวิชาโดยตรงจาก Maeda ได้เริ่มต้นพัฒนาศิลปะการต่อสู้นี้ให้เข้ากับคนบราซิลมากขึ้น และเริ่มมีการจัดระบบสายเข็มขัดเพื่อวัดระดับฝีมือของผู้เรียนอย่างชัดเจน จากจุดนั้นมา ระบบสายเข็มขัดก็กลายเป็นส่วนสำคัญที่ใช้ในการวัดผลและพัฒนาทักษะของผู้เรียน BJJ ทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้
ระบบสีเข็มขัดตามมาตรฐาน IBJJF
ระบบสีเข็มขัดในยูยิตสูที่ใช้กันเป็นมาตรฐานสากลในปัจจุบันถูกควบคุมและกำหนดโดยสมาพันธ์ยูยิตสูบราซิลนานาชาติ (IBJJF) ซึ่งถือเป็นองค์กรหลักระดับโลกที่ดูแลกติกาและมาตรฐานต่างๆ รวมถึงการจัดอันดับสายเข็มขัดด้วย
สายเข็มขัดที่ IBJJF กำหนดไว้สำหรับผู้ใหญ่จะเริ่มจากสายขาว ซึ่งเป็นระดับของผู้เริ่มต้นทุกคน ตามมาด้วยสายฟ้า สายม่วง สายน้ำตาล และสูงสุดคือสายดำ โดยแต่ละสายก็จะบ่งบอกถึงระดับทักษะที่สูงขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ หลังจากสายดำขึ้นไปยังมีสายพิเศษอย่างสายดำแดง (Coral Belt) และสายแดง (Red Belt) ซึ่งจะเป็นระดับของผู้ที่มีประสบการณ์และผลงานโดดเด่นมากเป็นพิเศษในวงการนี้
ความแตกต่างระหว่างสายเด็กและผู้ใหญ่
ในส่วนของสายเด็ก IBJJF ได้แยกระบบสายออกจากผู้ใหญ่อย่างชัดเจน เนื่องจากเด็กๆ มีพัฒนาการและแรงจูงใจในการเรียนรู้ที่แตกต่างจากผู้ใหญ่ ระบบสายของเด็กจึงมีความละเอียดกว่า โดยเริ่มจากสายขาว ตามด้วยสายเทา เหลือง ส้ม และเขียว โดยแต่ละสายเด็กจะมีการแบ่งระดับย่อยเพิ่มเติมเพื่อช่วยให้เด็กๆ รู้สึกมีเป้าหมายในการฝึกซ้อมที่ชัดเจน
เมื่อเด็กๆ เหล่านี้อายุครบ 16 ปี พวกเขาก็จะถูกประเมินใหม่อีกครั้ง และเปลี่ยนมาใช้ระบบสายของผู้ใหญ่ โดยโค้ชจะเป็นผู้ตัดสินใจว่านักเรียนคนไหนเหมาะสมกับสายอะไร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ที่เด็กๆ เก็บเกี่ยวมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แต่ละสายมีความหมายอย่างไร?
ความหมายที่แท้จริงของแต่ละสายเข็มขัดไม่ได้มีแค่การแสดงระดับฝีมือ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงเส้นทางการเรียนรู้ที่นักยูยิตสูทุกคนต้องก้าวผ่านไปด้วยกัน
สายขาว คือสายเริ่มต้น เปรียบเหมือนผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า ผู้เรียนต้องเปิดใจให้กว้างพร้อมรับความรู้ใหม่ๆ เข้ามาเติมเต็ม สายฟ้า หมายถึงระดับที่มีทักษะพื้นฐานชัดเจน สามารถป้องกันตัวและฝึกสปาร์ริ่งได้อย่างมีประสิทธิภาพ สายม่วง เป็นขั้นที่ผู้เรียนสามารถผสานเทคนิคต่างๆ ให้ไหลลื่นและเริ่มมีสไตล์เฉพาะตัวที่ชัดเจน สายน้ำตาล คือสายที่สะท้อนถึงการเข้าใจเทคนิคในระดับสูง และมีความพร้อมในการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้อื่นได้ ส่วนสายดำ คือผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจศาสตร์ของยูยิตสูอย่างลึกซึ้ง สามารถวิเคราะห์ สอน และนำเทคนิคขั้นสูงมาปรับใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับสาย Coral และสายแดงนั้น ถือเป็นระดับปรมาจารย์ ที่นอกจากจะมีประสบการณ์มากมายแล้ว ยังมีบทบาทในการพัฒนาและเผยแพร่ศิลปะ BJJ ให้กับรุ่นหลังอย่างต่อเนเนื่องด้วย
ทำไมการมี “สาย” จึงสำคัญต่อการเรียนรู้?
โค้ชเคยเห็นหลายคนที่เข้ามาฝึกยูยิตสูแรกๆ อาจมองว่าการมีสายเข็มขัดเป็นแค่การแบ่งระดับธรรมดา แต่ความจริงแล้วการมีสายเข็มขัดในยูยิตสูมีความสำคัญมากกว่านั้น เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักเรียนมีเป้าหมายที่ชัดเจน รู้ว่าเราอยู่ตรงไหน ต้องพัฒนาอะไรต่อไป และยังช่วยสร้างระเบียบวินัยในตัวเองได้ดีมากๆ อีกด้วย
ยิ่งฝึกไปนานๆ โค้ชก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่า คนที่มีสายสูงขึ้นไม่ใช่แค่เก่งกว่าเดิม แต่ยังมีทัศนคติและความเข้าใจในการใช้ชีวิตที่ดีขึ้นด้วย เพราะยูยิตสูคือศิลปะที่ไม่ได้แค่พัฒนาทักษะทางร่างกาย แต่มันยังฝึกฝนสภาพจิตใจและแนวคิดของเราให้แข็งแกร่งขึ้นได้พร้อมๆ กัน
และนี่แหละครับ คือเหตุผลที่ทำไมระบบสายเข็มขัดถึงเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ของ Brazilian Jiu-Jitsu
ใครคือ “ตำนาน” ของแต่ละสาย?
ในทุกศาสตร์การต่อสู้ จะมีบุคคลที่ถือได้ว่าเป็นตำนาน เป็นผู้ที่สร้างแรงบันดาลใจ และทิ้งมรดกที่ทรงคุณค่าไว้ให้กับคนรุ่นหลัง ยูยิตสูเองก็เช่นกัน วันนี้โค้ชจะมาเล่าถึงตำนานที่เป็นแรงบันดาลใจสำคัญของ BJJ ตั้งแต่ยุคแรกเริ่มไปจนถึงยุคปัจจุบัน รับรองว่าแต่ละคนมีเรื่องราวที่น่าสนใจและสามารถนำไปสร้างแรงผลักดันในการฝึกฝนของเราได้เป็นอย่างดีครับ
Mitsuyo Maeda – ต้นตำรับจากญี่ปุ่นสู่บราซิล
ถ้าพูดถึงจุดเริ่มต้นของ Brazilian Jiu-Jitsu คนที่เราจะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาดคือ Mitsuyo Maeda หรือที่คนในวงการรู้จักกันดีในชื่อ Count Koma เขาคือคนญี่ปุ่นแท้ๆ ที่เดินทางมายังบราซิลช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และเป็นผู้ถ่ายทอดวิชายูยิตสูผสมผสานกับยูโดสมัยใหม่ให้แก่ตระกูล Gracie ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของ BJJ ในปัจจุบัน
ความพิเศษของ Maeda คือเขาไม่ได้เพียงสอนทักษะทางกาย แต่ยังเน้นเรื่องปรัชญาการต่อสู้ การเคารพในคู่ต่อสู้ และการประยุกต์ใช้เทคนิคอย่างมีเหตุผล ซึ่งสิ่งนี้แหละที่ทำให้ศิลปะการต่อสู้จากญี่ปุ่นกลายเป็นศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในบราซิล และแพร่หลายไปทั่วโลกอย่างที่เราเห็นกันในวันนี้ครับ
Helio Gracie – ผู้ปฏิวัติ BJJ ให้เหมาะกับคนตัวเล็ก
ถ้า Mitsuyo Maeda คือคนที่เริ่มต้นเรื่องราวของ BJJ Helio Gracie ก็คือผู้ที่ยกระดับและปฏิวัติศาสตร์นี้ขึ้นมาให้เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีร่างกายเล็ก หรือคนที่ไม่ได้มีพละกำลังมาก
ในช่วงแรกที่ Helio เริ่มฝึก เขามีรูปร่างเล็กและสุขภาพอ่อนแอมากครับ แต่แทนที่เขาจะยอมแพ้ เขากลับใช้ข้อจำกัดนี้เป็นแรงผลักดัน พัฒนาเทคนิคและวิธีการต่อสู้ให้เหมาะกับคนตัวเล็กที่ไม่มีแรงเยอะ เขาเน้นไปที่การใช้เทคนิคมากกว่ากำลัง ส่งผลให้ BJJ กลายเป็นศาสตร์ที่ใครก็ฝึกได้ และใช้ประโยชน์ได้จริงในการต่อสู้ นี่คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของ BJJ ที่ทำให้ศิลปะนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้
Rickson Gracie – ตำนานสายดำอันดับ 9
Rickson Gracie ลูกชายของ Helio Gracie เป็นหนึ่งในตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ของ BJJ และได้รับการยกย่องว่าเป็นนักยูยิตสูที่สมบูรณ์แบบที่สุดคนหนึ่งของโลก เขาคือสายดำระดับ 9 (Red Belt) ซึ่งเป็นระดับที่สูงมากจนมีคนทั่วโลกได้รับตำแหน่งนี้แค่เพียงหยิบมือเดียวเท่านั้น
Rickson เป็นที่รู้จักกันดีจากสถิติการต่อสู้แบบไม่แพ้ใคร ทั้งในการแข่งขัน BJJ และ MMA ด้วยสถิติชนะ 400 ครั้งโดยที่ไม่เคยแพ้ใครเลย นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ที่เน้นเรื่องปรัชญาการใช้ชีวิต การหายใจ และสมาธิ เขามักจะสอนว่า "ชัยชนะที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การเอาชนะคู่ต่อสู้ แต่อยู่ที่การเอาชนะตัวเอง" และนี่คือสิ่งที่ทำให้ Rickson กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักยูยิตสูทั่วโลกมาจนถึงทุกวันนี้
Marcelo Garcia, Roger Gracie, John Danaher – ผู้พัฒนาเทคนิคยุคใหม่
นอกจากตำนานในยุคบุกเบิกแล้ว ในยุคปัจจุบันยังมีผู้ที่พัฒนาเทคนิคยูยิตสูจนก้าวไกลกว่าเดิมไปอีก เช่น Marcelo Garcia เจ้าของแชมป์โลกหลายสมัยที่เน้นเทคนิคการต่อสู้ที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เขาคือคนที่บุกเบิกและทำให้เทคนิคอย่าง X-Guard และ Butterfly Guard กลายเป็นที่นิยมในวงการ
ขณะเดียวกัน Roger Gracie ก็เป็นอีกหนึ่งตำนานที่ถูกยกย่องในฐานะนักยูยิตสูที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขัน โดยเน้นการใช้พื้นฐานที่แข็งแกร่งในการเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างเด็ดขาด
และจะลืม John Danaher ไม่ได้เด็ดขาด เขาคือโค้ชที่เปลี่ยนแปลงวงการ BJJ อย่างสิ้นเชิงในยุคปัจจุบัน ด้วยวิธีการสอนที่ละเอียดและมีระบบระเบียบชัดเจน ทำให้เทคนิคต่างๆ โดยเฉพาะเทคนิคการโจมตีขา (Leg Lock) กลายเป็นสิ่งที่นักกีฬารุ่นใหม่ๆ ให้ความสำคัญและใช้งานได้จริงในระดับสูงสุดของการแข่งขัน
BJJ ในไทย ใครคือตำนานยุคบุกเบิก?
สำหรับประเทศไทยเอง โค้ชเชื่อว่าหลายคนที่ฝึก BJJ ยุคแรกๆ จะต้องเคยได้ยินชื่อของ "อาจารย์จุก" หรือ คุณวรพันธ์ ชัยรัต ซึ่งถือเป็นตำนานยุคบุกเบิกของ BJJ ในไทย ท่านเป็นคนที่นำเอาศิลปะการต่อสู้นี้เข้ามาเผยแพร่และผลักดันจนเกิดชุมชนและการแข่งขันยูยิตสูในไทยอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้
นอกจากนี้ยังมีนักยูยิตสูรุ่นบุกเบิกอีกหลายคนที่มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กันในการวางรากฐานและสร้างชุมชน BJJ ให้เติบโตในประเทศไทย ทำให้ยูยิตสูในบ้านเราพัฒนาไปไกลและมีคุณภาพไม่แพ้ชาติอื่นๆ เลยครับ
ตำนานเหล่านี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือเป็นใคร ต่างก็มีส่วนสำคัญในการทำให้ BJJ กลายเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ทุกคนรักและหลงใหลจนถึงทุกวันนี้
หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย
ใช้เวลากี่ปีจึงจะเปลี่ยนสาย?
มีคำถามยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่มักจะถามโค้ชอยู่บ่อยๆ ก็คือ “ต้องฝึกอีกนานแค่ไหนถึงจะได้เปลี่ยนสาย?” บางคนถามด้วยความสงสัย บางคนถามด้วยความใจร้อนอยากเลื่อนขั้นเร็วๆ วันนี้โค้ชจะมาอธิบายให้ชัดเจนและเข้าใจง่ายที่สุดว่า การเปลี่ยนสายเข็มขัดใน BJJ โดยปกติใช้เวลาเท่าไหร่ และมีปัจจัยอะไรที่เกี่ยวข้องบ้าง เพื่อให้ทุกคนมีภาพที่ชัดเจนและเตรียมตัวกันได้ถูกครับ
เวลาขั้นต่ำที่ IBJJF กำหนดในแต่ละสาย
ปกติแล้วเวลาในการเลื่อนสายเข็มขัดของ BJJ จะขึ้นอยู่กับมาตรฐานที่กำหนดโดย IBJJF (International Brazilian Jiu-Jitsu Federation) ซึ่งจะมีระยะเวลาขั้นต่ำที่ต้องใช้ในแต่ละสายไว้อย่างชัดเจน โดยเริ่มนับจากสายขาวขึ้นไปสู่สายดำ ดังนี้ครับ
จากสายขาวไปสายฟ้า โดยปกติจะใช้เวลาอย่างน้อยประมาณ 1-2 ปี โดยช่วงนี้ผู้เรียนจะได้เรียนรู้พื้นฐานและเริ่มสปาร์ริ่งจริงมากขึ้น
จากสายฟ้าไปสายม่วง ใช้เวลาอีกประมาณ 2 ปี โดยต้องเน้นไปที่การเชื่อมโยงเทคนิคและเข้าใจรายละเอียดของยูยิตสูอย่างชัดเจนขึ้น
จากสายม่วงไปสายน้ำตาล ใช้เวลาอีกประมาณ 1 ปีครึ่งถึง 2 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องฝึกและมีประสบการณ์ในการแข่งขันหรือสปาร์ริ่งที่เข้มข้นยิ่งขึ้น
จากสายน้ำตาลไปสายดำ ใช้เวลาอย่างน้อยอีก 1 ปี ถึง 2 ปีเต็ม ซึ่งในช่วงนี้ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ที่ลึกซึ้งและสามารถถ่ายทอดวิชาที่ตนเองมีให้กับคนอื่นได้อย่างดี
ถ้ารวมทั้งหมดโดยทั่วไปแล้วจะใช้เวลาประมาณ 8-10 ปีในการก้าวจากสายขาวขึ้นไปจนถึงสายดำ ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกครับ
อายุและปัจจัยที่มีผลต่อการขึ้นสาย
แม้ว่า IBJJF จะมีเกณฑ์เวลาที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่อย่าลืมว่าแต่ละคนนั้นมีปัจจัยที่ไม่เหมือนกัน เช่น อายุ ความสม่ำเสมอในการฝึกซ้อม รวมถึงศักยภาพของแต่ละคน ซึ่งทั้งหมดนี้มีผลอย่างมากต่อระยะเวลาในการขึ้นสาย
จากที่โค้ชเคยเห็นคนในยิมที่ตัวเองดูแลมา คนที่มีเวลาฝึกอย่างสม่ำเสมอ เช่น 3-4 วันต่อสัปดาห์ และมีเป้าหมายที่ชัดเจน มักจะมีพัฒนาการที่รวดเร็วและเลื่อนสายได้ตามเวลาขั้นต่ำหรืออาจเร็วกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย ในขณะที่บางคนที่มีข้อจำกัด เช่น ติดงาน หรือมีภารกิจอื่นๆ ทำให้มาซ้อมได้แค่สัปดาห์ละ 1-2 วัน ก็อาจจะใช้เวลานานกว่าเกณฑ์มาตรฐานไปอีกหน่อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติครับ
สถิติระยะเวลาที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการได้สายดำ
จากการสำรวจข้อมูลของ IBJJF และสถิติทั่วไปที่โค้ชได้พบเห็นในชุมชน BJJ ทั่วโลก พบว่าระยะเวลาที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการได้รับสายดำจะอยู่ที่ประมาณ 10 ปีโดยเฉลี่ย โดยคนส่วนใหญ่มักจะใช้เวลาในการอยู่สายฟ้ากับสายม่วงนานที่สุด เพราะเป็นช่วงที่มีการพัฒนาเทคนิคและประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมากขึ้นที่สุด ก่อนจะก้าวไปสู่ระดับสูงๆ ต่อไป
โค้ชเคยอ่านงานวิจัยในต่างประเทศที่เก็บข้อมูลจากนักยูยิตสูกว่า 500 คนและพบว่าระยะเวลาที่นักเรียนส่วนใหญ่ใช้ในการได้รับสายดำเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 9-12 ปี ซึ่งสอดคล้องกับเกณฑ์ของ IBJJF เป็นอย่างดีครับ
ตัวอย่างตารางเวลา: จากสายขาวถึงสายดำภายใน 10 ปี
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น โค้ชจะยกตัวอย่างง่ายๆ ในการวางแผนการฝึกซ้อมที่สมเหตุสมผลเพื่อไปสู่สายดำภายใน 10 ปี ดังนี้ครับ:
ปีที่ 1-2 (สายขาว)
ช่วงนี้คือเวลาปูพื้นฐานและสร้างความเข้าใจในเทคนิคพื้นฐาน รวมถึงการเรียนรู้เรื่องการสปาร์ริ่งขั้นต้น
ปีที่ 3-4 (สายฟ้า)
เน้นเรื่องเทคนิคขั้นกลางและเพิ่มประสบการณ์ในการแข่งขันหรือสปาร์ริ่ง เพื่อเรียนรู้การจัดการกับความกดดันต่างๆ ได้ดีขึ้น
ปีที่ 5-6 (สายม่วง)
ช่วงนี้จะต้องเชี่ยวชาญในการเชื่อมโยงเทคนิคและสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี พร้อมทั้งมีสไตล์การต่อสู้ที่ชัดเจน
ปีที่ 7-8 (สายน้ำตาล)
ในช่วงนี้ผู้ฝึกจะต้องมีความพร้อมในการเป็นผู้ช่วยโค้ชหรือมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้อื่นได้
ปีที่ 9-10 (สายดำ)
สายดำคือช่วงที่ผู้ฝึกจะต้องแสดงให้เห็นว่ามีทักษะที่ลึกซึ้งในระดับสูง และมีคุณสมบัติครบถ้วนในการเป็นโค้ชหรืออาจารย์ได้
อย่างไรก็ตาม แผนนี้เป็นเพียงแนวทางทั่วไปครับ ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องทำได้ภายในเวลาเท่านี้เป๊ะๆ แต่เป็นแนวทางในการวางแผนเพื่อช่วยให้ทุกคนสามารถเห็นภาพและวางเป้าหมายของตนเองได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง
หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย
ข้อสอบ การทดสอบ และเกณฑ์การเลื่อนสาย
อีกหนึ่งคำถามสำคัญที่โค้ชมักจะเจออยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะจากนักเรียนใหม่ก็คือ
“จะรู้ได้ยังไงว่าพร้อมจะขึ้นสายแล้ว?” หรือ “ต้องผ่านเกณฑ์อะไรบ้าง ถึงจะขึ้นสายได้?”
ซึ่งวันนี้โค้ชจะมาอธิบายอย่างละเอียดเลยว่า การทดสอบและเกณฑ์การเลื่อนสายของ BJJ เป็นอย่างไรบ้าง
เพื่อให้ทุกคนได้เตรียมตัว และมั่นใจในการก้าวไปสู่ระดับถัดไปของตัวเองครับ
ต้องมีเทคนิคอะไรบ้างในแต่ละสาย?
สำหรับการขึ้นสายของ BJJ สิ่งสำคัญอันดับแรกเลยคือการที่นักเรียนจะต้องมีความสามารถในเทคนิคที่เหมาะสมกับระดับของตนเอง แต่ละสายก็จะมีระดับความยากและความซับซ้อนที่แตกต่างกันไป เช่น ในสายขาว นักเรียนควรรู้พื้นฐานของการจับ ล็อก แขนขา หรือการควบคุมคู่ต่อสู้ในท่าพื้นฐานได้ดี ในสายฟ้าและสายม่วง ก็จะเน้นเรื่องการเชื่อมโยงเทคนิคต่างๆ เข้าด้วยกัน และสามารถใช้เทคนิคเหล่านั้นในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ขยับมาสายน้ำตาลและสายดำ จะเป็นการวัดว่าผู้เรียนสามารถวิเคราะห์และประยุกต์ใช้เทคนิคที่ซับซ้อน พร้อมทั้งสามารถถ่ายทอดหรือสอนเทคนิคเหล่านั้นให้กับผู้อื่นได้ด้วย ซึ่งตรงนี้เองที่แสดงให้เห็นว่าการเลื่อนสายไม่ได้มีเพียงแค่เทคนิค แต่รวมไปถึงความเข้าใจในศาสตร์ BJJ อย่างลึกซึ้งด้วยครับ
แบบฝึกหัด ทฤษฎี และสปาร์ริ่งที่ต้องผ่าน
โค้ชอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า การขึ้นสายใน BJJ ไม่ใช่แค่เพียงทำท่าเทคนิคถูกต้องครบถ้วนเท่านั้น แต่ยังมีองค์ประกอบสำคสญอื่นที่ต้องผ่านด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสอบภาคทฤษฎีที่หลายๆ ยิมนำมาใช้เพื่อให้แน่ใจว่านักเรียนเข้าใจที่มาที่ไปของเทคนิค และสามารถอธิบายหลักการได้ชัดเจน
ในส่วนของสปาร์ริ่งนั้นสำคัญมาก เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการนำเทคนิคมาใช้งานจริงในการต่อสู้ โค้ชส่วนใหญ่มักจะสังเกตนักเรียนเวลาเข้าสปาร์ริ่งอยู่เสมอ เพื่อดูว่าพวกเขาสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้มาใช้ได้ดีแค่ไหนและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องหรือเปล่า ซึ่งเป็นเกณฑ์สำคัญที่ใช้พิจารณาการขึ้นสายอีกด้วยครับ
อะไรคือ “คาแรกเตอร์” ที่โค้ชดูเวลาพิจารณาขึ้นสาย?
โค้ชเชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า "คาแรกเตอร์สำคัญพอๆ กับเทคนิค" ซึ่งในยูยิตสูยิ่งชัดเจนมาก โค้ชส่วนใหญ่ไม่เพียงแค่ดูความสามารถด้านเทคนิคอย่างเดียว แต่ยังดูพฤติกรรม ทัศนคติ ความมีวินัย ความอดทน และการปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมทีมของนักเรียนอีกด้วย
สิ่งที่โค้ชเห็นมาตลอดในยิมของตัวเองคือ บางคนอาจไม่ได้มีเทคนิคที่สมบูรณ์แบบมากนัก แต่มีความมุ่งมั่น มีระเบียบวินัย และมีทัศนคติที่ดีเยี่ยมในการฝึกซ้อม โค้ชส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้มาก เพราะเชื่อว่าเขาจะสามารถพัฒนาเทคนิคขึ้นได้ในระยะยาว ในทางกลับกัน นักเรียนที่อาจจะมีเทคนิคดีเยี่ยมแต่ขาดทัศนคติที่ดีและการมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมทีม ก็อาจถูกมองข้ามไปได้เช่นกัน ดังนั้นคาแรกเตอร์ของผู้เรียนจึงสำคัญไม่น้อยไปกว่าการแสดงเทคนิคเลยครับ
ทดสอบสายต่างกันระหว่างยิมไหม?
อีกหนึ่งคำถามที่เจอกันบ่อยก็คือ การทดสอบสายระหว่างยิมมีความแตกต่างกันหรือไม่? คำตอบคือมีครับ บางยิมอาจเน้นหนักไปที่การสอบสปาร์ริ่งจริงจังอย่างเข้มข้น ขณะที่บางยิมอาจมีการสอบทฤษฎีและเทคนิคที่เข้มข้นกว่า ซึ่งตรงนี้โค้ชแนะนำให้ทุกคนสอบถามยิมที่ตัวเองฝึกอยู่ว่ามีเกณฑ์การสอบอย่างไรบ้าง เพื่อให้เตรียมตัวได้อย่างเหมาะสมกับมาตรฐานของแต่ละที่
อย่างไรก็ตาม ยิมส่วนใหญ่ในไทยและทั่วโลกที่ได้รับการรับรองจาก IBJJF ก็จะมีเกณฑ์ที่ใกล้เคียงกันและเป็นมาตรฐานเดียวกันในระดับสากล ดังนั้นหากฝึกซ้อมในยิมที่ได้รับการรับรองโดย IBJJF ทุกคนก็มั่นใจได้ว่า มาตรฐานการทดสอบสายจะเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติครับ
การแข่งขันช่วยให้ขึ้นสายเร็วจริงหรือ?
มีคำพูดหนึ่งที่โค้ชมักได้ยินเสมอคือ “ถ้าอยากขึ้นสายเร็ว ต้องแข่งบ่อยๆ” ความจริงแล้วการแข่งขันไม่ได้ทำให้ขึ้นสายเร็วขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่การแข่งขันช่วยให้นักเรียนได้ประสบการณ์และพัฒนาการที่รวดเร็วมากขึ้นต่างหาก เพราะการลงแข่งขันจะทำให้นักเรียนรู้จุดอ่อนและจุดแข็งของตัวเองชัดเจนมากขึ้น
ที่สำคัญคือโค้ชได้เห็นหลายครั้งแล้วว่า นักเรียนที่ลงแข่งขันอย่างสม่ำเสมอ จะมีความสามารถในการจัดการความกดดันและมีเทคนิคที่ละเอียดมากขึ้น ส่งผลให้พวกเขามีความพร้อมในการเลื่อนสายมากกว่าคนที่ไม่ได้แข่งขัน ดังนั้นการแข่งขันไม่ได้เร่งเวลาการขึ้นสาย แต่ช่วยเร่งให้เรามีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับการขึ้นสายเร็วขึ้นนั่นเองครับ
ขึ้นสายที่ไหน? เลือกยิมยังไง?
หนึ่งในปัญหาสำคัญของคนที่เพิ่งเริ่มสนใจอยากฝึกยูยิตสูคือ การเลือกยิม คำถามที่โค้ชได้รับบ่อยมากๆ ก็คือ “จะรู้ได้ไงว่ายิมไหนดี?” หรือ “ขึ้นสายที่ไหนแล้วน่าเชื่อถือที่สุด?” วันนี้โค้ชจะมาแนะนำเทคนิคและเคล็ดลับง่ายๆ ในการเลือกยิม BJJ ที่เหมาะกับเรา และเหมาะกับเป้าหมายของแต่ละคนครับ รับรองว่าอ่านจบแล้วจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นแน่นอน
ยิมที่ได้รับการรับรอง IBJJF ในไทย
ก่อนอื่นเลย โค้ชอยากแนะนำให้ทุกคนเริ่มจากการเลือกยิมที่ได้รับการรับรองจาก IBJJF (International Brazilian Jiu-Jitsu Federation) ก่อนเป็นอันดับแรก เหตุผลสำคัญคือยิมเหล่านี้จะมีมาตรฐานการสอนและการสอบขึ้นสายที่ชัดเจน มีโค้ชที่ผ่านการรับรอง และสายที่ได้จากยิมเหล่านี้สามารถนำไปใช้แข่งขันหรือฝึกซ้อมในต่างประเทศได้โดยไม่เกิดปัญหาตามมา
ในประเทศไทยปัจจุบันมีหลายยิมที่ได้รับการรับรองจาก IBJJF และมีการจัดการที่ดี มีโค้ชระดับสายดำดูแลอย่างใกล้ชิด โค้ชแนะนำให้ทุกคนลองหาข้อมูลเพิ่มเติมผ่านเว็บไซต์ของ IBJJF หรือสอบถามโดยตรงกับยิมที่สนใจ เพื่อให้แน่ใจว่ายิมนั้นๆ ได้มาตรฐานสากลจริงๆ และเหมาะสมกับตัวเราที่สุดครับ
ยิมที่มีโปรแกรม Belt Test ชัดเจน
อีกจุดสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามไปก็คือ การมีโปรแกรมการทดสอบสายที่ชัดเจน เพราะมันคือการแสดงให้เห็นถึงระบบการสอนที่มีการวางแผนอย่างเป็นระบบระเบียบ ทำให้นักเรียนสามารถตั้งเป้าหมายและวางแผนในการฝึกซ้อมได้ชัดเจนมากขึ้น
โค้ชเคยเห็นหลายคนที่ไปฝึกในยิมที่ไม่ได้มีระบบสอบสายชัดเจน สุดท้ายก็ฝึกไปเรื่อยๆ แบบไม่มีเป้าหมาย ทำให้รู้สึกท้อแท้หรือเบื่อหน่ายก่อนที่จะได้ขึ้นสายด้วยซ้ำ ยิมที่ดีจะต้องบอกนักเรียนได้ชัดเจนว่าคุณต้องทำอะไรบ้าง ต้องเตรียมตัวอย่างไร และจะสอบสายเมื่อไร เพื่อให้การฝึกซ้อมของคุณเป็นไปอย่างมีเป้าหมายที่ชัดเจนนั่นเองครับ
ความแตกต่างระหว่าง BJJ ยิมเชิงกีฬา กับ ยิมสายศิลปะป้องกันตัว
เมื่อเราจะเลือกยิม BJJ ก็ต้องถามตัวเองก่อนว่า “เป้าหมายของเราในการฝึกคืออะไร?” เพราะจริงๆ แล้วยิม BJJ สามารถแบ่งออกเป็นสองแบบหลักๆ ได้แก่ ยิมที่เน้นการแข่งขัน (เชิงกีฬา) และยิมที่เน้นการป้องกันตัวแบบดั้งเดิม
ถ้าคุณคือคนที่ชอบการแข่งขัน สนุกกับการสปาร์ริ่ง และอยากมีประสบการณ์จากการลงสนามแข่งขันจริง คุณควรเลือกยิมที่เน้นไปทางเชิงกีฬาเป็นหลัก ซึ่งยิมประเภทนี้มักจะมีโปรแกรมการฝึกซ้อมที่เข้มข้นและมีนักกีฬาระดับแข่งขันจำนวนมาก
แต่ถ้าคุณคือคนที่เน้นการเรียนรู้เพื่อป้องกันตัว หรือเน้นการพัฒนาตัวเองในแง่ของร่างกายและจิตใจเป็นหลัก คุณก็ควรมองหายิมที่ให้ความสำคัญกับพื้นฐานของการป้องกันตัว และปรัชญาของยูยิตสูมากกว่าการเน้นไปที่การแข่งขันเพียงอย่างเดียว
ถ้าไปซ้อมต่างประเทศ ยิมที่นั่นยอมรับสายของเราหรือไม่?
อีกเรื่องที่โค้ชอยากเน้นย้ำก็คือ การฝึกยูยิตสูเป็นสิ่งที่สามารถนำไปใช้ได้ทั่วโลก ดังนั้นถ้าคุณมีโอกาสได้เดินทางไปต่างประเทศไม่ว่าจะไปเที่ยว เรียน หรือทำงานก็ตาม ยิมที่คุณไปฝึกที่ต่างประเทศจะดูว่าเราฝึกจากที่ไหนมา และสายของเรามีความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน
หากสายที่เราได้รับมาจากยิมที่ได้รับการรับรองจาก IBJJF หรือยิมที่มีโค้ชระดับสายดำที่มีชื่อเสียงในวงการ โอกาสที่เราจะได้รับการยอมรับและฝึกซ้อมกับยิมต่างประเทศก็จะสูงขึ้นทันที ในทางตรงกันข้าม หากสายของเราไม่ได้มีที่มาที่ชัดเจน บางครั้งอาจเกิดปัญหาในการเข้าฝึกซ้อมกับยิมอื่นๆ ได้
ดังนั้นโค้ชแนะนำเลยครับ ว่าควรเลือกฝึกในยิมที่มีมาตรฐานชัดเจนตั้งแต่ต้น เพื่อให้สายที่เราได้รับมามีคุณค่าและสามารถใช้ได้ทั่วโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
หากคุณสนใจอุปกรณ์เล่นยิวยิตสู และคอร์สเรียน BJJ สามารถคลิกที่นี่ได้เลย
ค่าขึ้นสาย = จ่ายเท่าไหร่?
อีกหนึ่งหัวข้อที่หลายคนมักจะสงสัย และมีคำถามในใจกันอยู่เสมอก็คือ “การขึ้นสายเข็มขัดในยูยิตสูเสียเงินไหม? แล้วเสียเท่าไหร่กันแน่?” วันนี้โค้ชจะมาอธิบายกันแบบง่ายๆ และเคลียร์ให้ชัดเจนว่า โดยปกติแล้วการขึ้นสาย BJJ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และแต่ละที่แต่ละยิมมีมาตรฐานแบบไหน เพื่อให้ทุกคนสามารถวางแผนการฝึกซ้อมและเตรียมงบประมาณได้ถูกต้องมากขึ้นครับ
ค่าขึ้นสายเฉลี่ยในไทย
โดยปกติแล้ว ในประเทศไทย ค่าขึ้นสายเข็มขัดของ BJJ ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงที่ไม่แพงเกินไปนัก โดยทั่วไปมักจะอยู่ที่ประมาณ 500-2,000 บาท ต่อครั้งที่มีการทดสอบขึ้นสาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับมาตรฐานและชื่อเสียงของยิม หรือระดับของสายที่กำลังจะขึ้น เช่น การขึ้นจากสายขาวไปสายฟ้า หรือสายฟ้าไปม่วง ราคาก็มักจะอยู่ในช่วงประมาณนี้
ในบางยิมที่มีมาตรฐานสูง มีการสอบที่ละเอียด และมีพิธีการอย่างเป็นทางการ ก็อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับศิลปะการต่อสู้อื่นๆ ที่ต้องใช้อุปกรณ์เฉพาะทางเพิ่มเติม โค้ชแนะนำให้ทุกคนสอบถามรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับทางยิมให้ชัดเจนตั้งแต่เริ่มต้นฝึกซ้อม เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดในภายหลังครับ
ค่าขึ้นสายในต่างประเทศ
ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ BJJ ได้รับความนิยมอย่างบราซิล สหรัฐอเมริกา หรือยุโรป ค่าขึ้นสายมักจะสูงกว่าประเทศไทยอยู่พอสมควร โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 50-200 USD (ประมาณ 1,500-7,000 บาท) ต่อการทดสอบขึ้นสายหนึ่งครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่ราคาจะขึ้นอยู่กับมาตรฐานของยิมและโค้ชที่ทำการทดสอบ
ดังนั้น หากคุณมีโอกาสได้ไปฝึกซ้อมหรือขึ้นสายที่ต่างประเทศ ต้องเตรียมงบประมาณส่วนนี้เพิ่มเติมด้วย เพราะจะต่างจากไทยอยู่พอสมควรเลยครับ แต่แน่นอนว่าสายที่ได้รับจากยิมดังๆ ในต่างประเทศนั้นก็มีความน่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับในวงการระดับนานาชาติอย่างแน่นอน
ความเข้าใจผิดเรื่อง “ซื้อสาย”
โค้ชเชื่อว่าหลายๆ คนอาจเคยได้ยินคำว่า “ซื้อสาย” มาก่อน ซึ่งคำนี้มีความหมายเชิงลบในวงการยูยิตสู โดยเป็นการพูดถึงคนที่ไม่ได้มีทักษะเพียงพอ หรือไม่ได้ผ่านการทดสอบจริงๆ แต่ใช้เงินในการได้สายเข็มขัดมาแบบง่ายๆ โดยไม่มีคุณภาพ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ยิมที่ได้มาตรฐานจะไม่ทำเด็ดขาดครับ
อยากให้ทุกคนเข้าใจอย่างชัดเจนเลยว่า ค่าขึ้นสายที่เราเสียไปคือค่าดำเนินการทดสอบ ค่าจัดพิธีการ หรือค่าดำเนินเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่สามารถจ่ายเพื่อให้ได้สายมาโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบ เพราะสายเข็มขัดของ BJJ เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงทักษะและประสบการณ์ที่แท้จริงของแต่ละคนครับ
สิ่งที่ควรได้รับจากการจ่ายค่าขึ้นสาย
เมื่อคุณจ่ายค่าขึ้นสายเข็มขัด สิ่งที่คุณควรได้รับกลับมานอกจากสายใหม่ก็คือ การทดสอบที่ได้มาตรฐานจากโค้ชที่มีคุณภาพสูง บางยิมอาจมีการจัดพิธีขึ้นสายอย่างเป็นทางการ หรือมอบประกาศนียบัตรที่รับรองจากยิมหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยยืนยันถึงความสามารถและประสบการณ์ของคุณได้อย่างดี
สิ่งสำคัญที่ควรได้รับจากการเสียค่าใช้จ่ายนี้คือ คุณจะรู้ว่าตัวเองผ่านการทดสอบตามมาตรฐานสากลของ IBJJF และมั่นใจได้ว่าสายที่คุณได้รับมานั้นมีความน่าเชื่อถือ และนำไปใช้ในการแข่งขันหรือฝึกซ้อมทั่วโลกได้ครับ
ค่ารับรองจาก IBJJF และการขึ้นทะเบียนสายดำ
ในกรณีที่คุณกำลังจะได้รับสายดำ จะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนสายดำกับ IBJJF โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 400-500 USD (ประมาณ 14,000-18,000 บาท) ซึ่งนี่คือค่าใช้จ่ายที่ IBJJF เรียกเก็บสำหรับการตรวจสอบเอกสาร และออกใบรับรองอย่างเป็นทางการระดับนานาชาติ
แม้ว่าอาจดูแพง แต่โค้ชอยากให้ทุกคนมองว่าค่านี้คือการลงทุนที่คุ้มค่า เพราะสายดำที่ได้รับการรับรองจาก IBJJF จะมีความน่าเชื่อถือสูงสุดในวงการยูยิตสูทั่วโลก และช่วยให้คุณมีโอกาสในการสอน เปิดยิม หรือเข้าร่วมแข่งขันในระดับสากลได้ง่ายขึ้นนั่นเองครับ
สรุปภาพรวมของการขึ้นสาย BJJ สำหรับผู้เริ่มต้น
มาถึงตรงนี้แล้ว โค้ชอยากจะสรุปภาพรวมของเส้นทางการขึ้นสาย BJJ ให้ทุกคนเข้าใจง่ายที่สุด เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าจริงๆ แล้วการฝึกยูยิตสูไม่ได้เป็นเพียงแค่การได้รับสายเข็มขัดหรือผ่านการสอบเพียงอย่างเดียว แต่มันคือการเดินทางที่เต็มไปด้วยบทเรียนสำคัญๆ ที่สามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิตครับ
เส้นทางที่เป็นไปได้ของแต่ละคน
จากประสบการณ์ที่โค้ชได้เห็นมา ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นฝึกยูยิตสูด้วยเหตุผลใดก็ตาม เส้นทางของแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์และแตกต่างกันไป บางคนอาจเริ่มต้นจากการฝึกเพื่อสุขภาพ อยากลดน้ำหนัก หรือเพียงแค่หาเพื่อนใหม่ๆ บางคนก็อาจตั้งเป้าหมายที่การแข่งขันหรือการเป็นโค้ชในอนาคต
สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องรู้ตัวเองเสมอว่าเหตุผลที่คุณเริ่มต้นฝึกคืออะไร และรักษาเป้าหมายนั้นไว้ตลอดเส้นทาง บางคนอาจเลื่อนสายได้เร็วกว่าคนอื่น ในขณะที่บางคนอาจช้ากว่าเล็กน้อย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณล้มเหลว เพราะสิ่งสำคัญคือคุณได้พัฒนาตัวเองและเรียนรู้สิ่งใหม่ในทุกๆ วันที่มาซ้อมต่างหากครับ
เคล็ดลับในการเรียนรู้ให้ไม่หยุดกลางทาง
สิ่งที่โค้ชอยากแนะนำสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มฝึก BJJ และอยากจะเดินทางไปให้ถึงสายดำอย่างราบรื่นและสนุกไปกับมันคือการตั้งเป้าหมายเล็กๆ ในแต่ละขั้นตอน การมีเป้าหมายระยะสั้น เช่น เรียนรู้ท่าใหม่ให้ได้ทุกสัปดาห์ หรือสปาร์ริ่งได้ดีขึ้นกว่าเดิมในทุกเดือน เป็นการสร้างแรงจูงใจในการฝึกซ้อมได้ดีมาก
อีกหนึ่งเคล็ดลับที่สำคัญมากๆ คือการรักษาความสม่ำเสมอ โค้ชได้เห็นแล้วว่านักเรียนที่มาฝึกอย่างต่อเนเนื่องและไม่หายไปจากยิมนานๆ จะสามารถรักษาโมเมนตัมในการฝึกได้ดีกว่าคนที่มาๆ หายๆ ดังนั้น พยายามจัดตารางฝึกซ้อมให้ชัดเจนและปฏิบัติตามให้สม่ำเสมอที่สุดครับ
ต้องเตรียมใจ และใจเย็นอย่างไร?
มีนักเรียนหลายคนที่โค้ชเคยดูแลมาก่อน มักจะรีบร้อนอยากได้สายใหม่เร็วๆ จนบางครั้งเกิดความเครียดหรือกดดันตัวเองมากเกินไป แต่สิ่งที่โค้ชอยากบอกทุกคนคือ ยูยิตสูเป็นการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบสิ้น สายเข็มขัดคือเพียงสัญลักษณ์หนึ่งในการแสดงให้เห็นว่าเรากำลังพัฒนาขึ้น
เพราะฉะนั้น อย่าใจร้อนเกินไปครับ ให้มองแต่ละวันของการฝึกซ้อมเป็นโอกาสในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ค่อยๆ ฝึก ค่อยๆ พัฒนา เพราะทุกสายที่ได้มาโดยที่เราเข้าใจและมีความพร้อมจริงๆ จะมีคุณค่ามากกว่าการรีบเร่งขึ้นสายโดยไม่ได้มีทักษะที่ดีพอ
เป้าหมายที่สำคัญกว่าสาย คืออะไร?
ท้ายที่สุดแล้ว โค้ชอยากให้ทุกคนมองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของการฝึกยูยิตสูไม่ใช่การได้สายเข็มขัดสีไหนมาครอบครอง แต่เป็นการที่คุณได้พัฒนาตัวเองในทุกๆ ด้านต่างหาก
โค้ชได้เห็นนักเรียนที่เคยเป็นคนขี้อาย ไม่มีความมั่นใจ แต่หลังจากฝึกไปสักพัก เขากลายเป็นคนที่กล้าแสดงออก กล้าตัดสินใจมากขึ้น มีเพื่อนใหม่ และมีสุขภาพที่ดีขึ้น ซึ่งนี่คือสิ่งที่สำคัญกว่าสายเข็มขัดเสียอีก
สุดท้ายแล้ว สายเข็มขัดเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงการเดินทางและความทุ่มเทในการฝึกซ้อม แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดคือการที่คุณได้กลายเป็นคนที่ดีขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และมีความสุขกับการฝึกยูยิตสูมากขึ้นในทุกๆ วันครับ
บทความนี้เขียนโดย...
โค้ชปูแน่น (ปู จักรินทร์ บุญลาภ)
เป็น CEO และที่ปรึกษาด้านการพัฒนาทีมเทรนเนอร์ในฟิตเนสของตัวเองที่ Real Gym ซาฟารีเวิลด์ รวมถึงแบรนด์อาหารเสริม และที่ปรึกษาด้าน Training Quality ให้กับทีมเทรนเนอร์ของ Sport club และฟิตเนสชั้นนำ
โปรไฟล์โค้ชปูแน่น
บทความทั้งหมด
Powered by Mirasvit Magento 2 Extensions
-
- เครื่องเล่นสกีในร่ม Ski Machine สุดยอดเครื่องคาร์ดิโอ Concept2 SkiErgราคาพิเศษ ฿ 74,900.00 ราคาปรกติ ฿ 86,800.00สินค้าหมด
-
-