สวัสดีครับโค้ชปูแน่นเอง ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายและเจ้าของรางวัล Physique Champion หลายสมัย วันนี้ผมจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับ "พิลาทิส" การออกกำลังกายที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก ณ เวลานี้
จากประสบการณ์กว่า 13 ปีในการเป็น Personal Trainer ดูแลทั้งมือใหม่และนักกีฬาอาชีพ ผมพบว่าพิลาทิสเป็นศาสตร์การออกกำลังกายที่ถูกเข้าใจผิดมาโดยตลอดเพราะหลายคนมองว่าพิลาทิสเป็นการออกกำลังกายสำหรับผู้หญิงเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว พิลาทิสคือกุญแจสำคัญในการพัฒนาสมรรถภาพร่างกายแบบองค์รวม โดยเฉพาะสำหรับคนทำงานออฟฟิศที่มักปวดหลัง ปวดคอ หรือที่เรียกว่า Office Syndrome นั่นเองครับ
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพิลาทิสและการฝึกด้วยพิลาทิสริฟอร์มเมอร์ ผมได้พัฒนาโปรแกรมเล่นพิลาทิสเฉพาะบุคคลมาแล้วนับร้อยเคส ตั้งแต่การสอนพิลาทิสสำหรับมือใหม่ ไปจนถึงเทคนิคพิลาทิสระดับแอดวานซ์ ที่ช่วยแก้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น เล่นพิลาทิสแก้ปวดหลัง เล่นพิลาทิสแก้ปวดคอบ่าไหล่ รวมถึงการใช้พิลาทิสเพื่อลดน้ำหนักและการใช้พิลาทิสกระชับสัดส่วน
วันนี้ผมและ Homefittools จะพาทุกท่านเจาะลึกการออกกำลังกายแบบพิลาทิส ตั้งแต่พื้นฐานการหายใจแบบพิลาทิสที่ถูกต้อง ท่าพิลาทิสพื้นฐาน วิธีเลือกอุปกรณ์พิลาทิสสำหรับมือใหม่ ไปจนถึงเทคนิคระดับสูงที่ผมใช้กับนักกีฬามืออาชีพ
เครดิตภาพ: www.freepik.com
พิลาทิสคือการออกกำลังกายระดับสูงที่เน้นการเคลื่อนไหวแบบนุ่มนวล (Low Impact) โดยมุ่งเน้นการพัฒนากล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscles) ร่วมกับการควบคุมลมหายใจอย่างเป็นระบบ การฝึกพิลาทิสจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณกล้ามหน้าท้อง หลัง และสะโพก
จุดเด่นของพิลาทิสคือการผสมผสานการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนเข้ากับการควบคุมร่างกาย ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความแข็งแรงแล้ว ยังช่วยปรับปรุงการทรงตัว ความยืดหยุ่น และบุคลิกภาพโดยรวม ผู้ฝึกสามารถเลือกฝึกได้ทั้งพิลาทิสไม่ใช้อุปกรณ์และพิลาทิสที่บ้าน หรือฝึกกับผู้สอนในสตูดิโอที่มีอุปกรณ์เฉพาะทาง
พิลาทิสแตกต่างจากการออกกำลังกายแบบอื่นตรงที่มีอุปกรณ์พิเศษที่ออกแบบมาเฉพาะ เช่น Reformer และ Cadillac ซึ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายในการฝึกและรองรับการพัฒนาทักษะในระดับที่สูงขึ้น โดยยังคงความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ
**งานวิจัยจาก Journal of Physical Therapy Science (2016) พบว่าการฝึกพิลาทิสอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 8 สัปดาห์ สามารถเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางได้ถึง 21% และปรับปรุงความสมดุลของร่างกายได้ถึง 18% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
บทความที่น่าสนใจ : 7ท่าเล่นพิลาทิสกับผนัง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ !
เครดิตภาพ: www.freepik.com
สำหรับเครื่องพิลาทิสเป็นกิจกรรมการออกกำลังกายที่เน้นการเสริมสร้างความแข็งแรงและเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว การเคลื่อนไหว และควบคุมความแข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีให้กับร่างกายได้อีกด้วย จากประสบการณ์การสอนพิลาทิส ผมแบ่งรูปแบบการฝึกออกเป็น 2 ประเภทหลักๆครับ
การฝึกบนเสื่อพิลาทิสพิเศษที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ โดยมีความแตกต่างจากเสื่อโยคะทั่วไปคือ
ประกอบด้วยอุปกรณ์หลัก 3 ชนิด
** จากการศึกษาในวารสาร Sports Medicine (2019) พบว่าการฝึกพิลาทิสโดยใช้อุปกรณ์สามารถเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางได้มากกว่าการฝึกแบบไม่ใช้อุปกรณ์มากถึง 30% แต่ทั้งสองรูปแบบต่างมีประสิทธิภาพในการพัฒนาความยืดหยุ่นและการทรงตัวไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
พิลาทิสเป็นการออกกำลังกายที่ปรับระดับความเข้มข้น ยากง่าย ได้อย่างหลากหลาย จึงเหมาะกับหลายกลุ่มเป้าหมาย โดยผมจะแบ่งออกเป็น 3กลุ่ม ดังนี้
อ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง : ท่าบริหารกล้ามเนื้อหลัง ป้องกันออฟฟิศซินโดรม คลิกเลย !
อ่านบทความเพิ่มเติม : 10 ประโยชน์ของพิลาทิส พิลาทิสช่วยอะไรบ้าง
**เคล็ดลับจากโค้ชปูแน่น ผมแนะนำให้เริ่มจากการเล่นพิลาทิสแบบใช้เสื่อก่อน แม้คุณจะเคยออกกำลังกายรูปแบบอื่นมาก่อนก็ตาม เพราะการเล่นพิลาทิสแบบใช้เสื่อนั้นจะช่วยให้เข้าใจหลักการพื้นฐานของพิลาทิสได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะการควบคุมแกนกลางลำตัวและการหายใจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการฝึกพิลาทิส
ผมพบว่าหลายคนมักสับสนระหว่างเสื่อสองประเภทนี้ ซึ่งเสื่อโยคะ และ เสื่อพิลาทิส
**จากประสบการณ์สอนพิลาทิส ผมแนะนำให้เลือกเสื่อพิลาทิสโดยเฉพาะ เพราะจะช่วยป้องกันการบาดเจ็บและทำให้ฝึกได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะท่าที่ต้องกลิ้งหรือเคลื่อนไหวบนเสื่อ
1. พิจารณาจากขนาดตัวและสภาพร่างกายของเรา หากเป็นคนที่มีอาการเจ็บข้อต่อง่าย ควรเลือกเสื่อที่มีความหนากว่าปรกติ การใช้เสื่อโยคะที่ความหนา 4 – 6 มิลลิเมตรจึงช่วยเซฟท่านั่ง ยืน นอนและทรงตัวได้ดีกว่า
2. เลือกจากวัสดุที่ใช้ ทั้งเนื้อสัมผัสเหนียวแน่นนุ่มสบาย พร้อมกันลื่นและระบายอากาศได้ดี จะช่วยให้คุณเคลื่อนไหวได้หลากหลายตำแหน่งได้ไร้สะดุด แถมยังทำความสะอาดได้ง่ายเพียงใช้สเปรย์ฉีดเช็ด
เครดิตภาพ: www.freepik.com
การยืดเหยียดหลังส่วนบน หรือ Upper Back Stretch เป็นท่าพื้นฐานที่ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน เหมาะสำหรับคนที่มีอาการปวดหลังส่วนบน สามารถทำได้ทั้งแบบนั่งและยืน
สำหรับการเล่นท่านี้แบบนั่ง เริ่มจากนั่งคุกเข่าบนเสื่อโยคะ วางฝ่ามือลงพื้นให้ลำตัวอยู่ในแนวเดียวกับไหล่ จากนั้นค่อยๆ ทิ้งสะโพกลงจนแนบปลายเท้า เกร็งหน้าท้องพร้อมก้มศีรษะลง ยืดแขนตรงออกไปจนรู้สึกตึงที่กล้ามเนื้อสะบักและค้างไว้ 15-30 วินาที แล้วกลับสู่ท่าเริ่ม ทำ 2-4 ครั้ง
ส่วนการเล่นท่านี้แบบยืน ซึ่งผมมักแนะนำสำหรับคนทำงานออฟฟิศ เริ่มจากยืนตัวตรง ก้มศีรษะลงพร้อมเหยียดแขนออกในลักษณะพลิกเกือบประกบกัน ใช้เวลาและจำนวนครั้งเท่ากับแบบนั่ง สามารถใช้โต๊ะ เก้าอี้ หรือราวจับในบ้านช่วยได้
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมแนะนำให้ยืดเหยียด 2-3 ครั้งต่อวัน โดยเฉพาะหลังตื่นนอนและก่อนนอน หากรู้สึกเจ็บขณะยืด ให้หยุดทันทีและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะการยืดที่ถูกต้องควรรู้สึกตึงแต่ไม่เจ็บ
เครดิตภาพ: www.freepik.com
เมื่อบริหารหลังส่วนบนไปแล้ว ท่าพิลาทิสเพื่อยืดกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างย่อมตามเติมเต็มจนครบส่วน ในฐานะโค้ชที่ดูแลลูกค้าที่มีปัญหาหลังมาหลายราย ผมพบว่าท่า Spinal Twist เป็นท่าพิลาทิสพื้นฐานที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อหลังและเพิ่มความยืดหยุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลัง เริ่มต้นด้วยท่านั่งวางเท้าราบกับพื้น เกร็งหน้าท้องก่อนค่อย ๆ หมุนลำตัวไปทางด้านขวา โดยสามารถวางมือบนเสื่อใกล้ปลายเท้าเพื่อช่วยทรงตัวขณะยืดบิด ทั้งนี้ให้รักษาสภาพการยืดส่วนสะโพกขณะหลังตั้งตรงนี้ไว้ 30 วินาที ก่อนสลับทำอีกข้างหนึ่งรวมทั้งหมด 2 - 4 เซ็ต
เคล็ดลับสำคัญจากประสบการณ์การเป็นเทรนเนอร์คือ ควรหายใจเข้าลึกๆ ขณะเริ่มท่า และค่อยๆ หายใจออกช้าๆ ขณะบิดตัว จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายได้ดียิ่งขึ้น การทำพิลาทิสท่านี้เป็นประจำจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและบรรเทาอาการปวดหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เครดิตภาพ: www.freepik.com
ท่ายืดเหยียดคอคงตอบโจทย์อย่างมากกับสไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันที่นิยมก้มดูมือถือจนปวดคอและท้ายทอยเป็น Text Neck Syndrome ตกตามกัน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกและการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ผมพบว่าอาการปวดคอเป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุดในมนุษย์ออฟฟิศ การยืดกล้ามเนื้อคอจึงสำคัญมาก โดยวิธีการบริหารก็ทำได้ง่ายเพียงนั่งขัดสมาธิบนเสื่อหรือบนเก้าอี้ออฟฟิศก็ได้ จากนั้นให้เอื้อมมือขวาจับศีรษะส่วนซีกซ้ายและค่อย ๆ กดแรงเอนไปทางขวาจนรู้สึกยืดตึงส่วนคอและไหล่ ทำเช่นนี้ 30 วินาที ก่อนสลับข้างไปด้านซ้าย รวม 5 – 6 เซ็ต
เคล็ดลับสำคัญคือ ควรทำการยืดเหยียดกล้ามเนื้อคอนี้ทุก 2-3 ชั่วโมงระหว่างทำงาน จะช่วยลดความเสี่ยงของอาการ Text Neck Syndrome และป้องกันอาการปวดเมื่อยคอได้อย่างมีประสิทธิภาพ ท่านี้เป็นท่าพื้นฐานที่แนะนำให้ทำเป็นประจำสำหรับคนทำงานออฟฟิศ
เครดิตภาพ: www.freepik.com
หลังจากนั่งทำงานเกือบทั้งวัน เป็นธรรมดาที่คุณจะรู้สึกแข็งและชาไปทั่วทั้งขา แน่นอนว่าการขยับยืดเส้นสายก็สำคัญไม่น้อย จากประสบการณ์การฝึกสอนของผม การยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนทำงานออฟฟิศ เพราะการนั่งนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อส่วนนี้หดสั้นและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่าย และท่ายืดเหยียดแฮมสตริง (Hamstring Stretch) นี่เองที่ช่วยคุณเหยียดยืดกล้ามเนื้อส่วนเอ็นร้อยหวายได้ทั้งจากบนพื้นและเก้าอี้ เพียงคุณเหยียดตรงไปข้างหน้า งอหลังให้ตรง และพยายามเอื้อมมือไปด้านหน้าให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ขณะที่เข่ายังเหยียดตรงเป็นเวลา 30 วินาที หลังจากนั้นให้สลับทำอีกข้างโดยทำข้างละ 2 เซ็ต
เคล็ดลับจากประสบการณ์ของผมคือ ควรทำท่านี้หลังเลิกงานทุกวัน และไม่ควรฝืนยืดจนเกินไป เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บได้ การยืดที่ถูกต้องควรรู้สึกตึงแต่ไม่เจ็บ จะช่วยป้องกันอาการปวดหลังและเข่าในระยะยาว
เครดิตภาพ: www.freepik.com
อีกท่าพิลาทิสที่ไม่ควรพลาดที่ทั้งมือใหม่และมือโปรก็สามารถทำได้ไม่ยาก ในฐานะ Certified Fitness Trainer ผมขอแนะนำท่านี้เป็นพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว (Core) ซึ่งยืดเหยียดตรงทั้งส่วนอก หน้าท้อง หลังส่วนกลางล่างและขา เพียงเริ่มนอนหงายงอเข้าและเท้าราบกับพื้นในระนาบเดียวกับเข่าโดยเว้นช่องว่างสามเหลี่ยมมุม 90 องศาตรงส่วนสะโพก ก่อนดันสะโพกขึ้นลงสลับกันเป็นเวลา 30 วินาที/เซ็ต ซึ่งในระหว่างนั้นให้ค่อย ๆ หายใจเข้าไปตามระดับการยกสะโพกที่สูงและตึงขึ้นทุกขณะ และค่อย ๆ หายใจออกเมื่อหย่อนตัวลงเป็นจังหวะ ทำซ้ำเรื่อย ๆ จนครบ 3 - 5 เซ็ตเป็นอันจบท่า
เคล็ดลับจากประสบการณ์การสอนพิลาทิสของผม การเกร็งหน้าท้องตลอดการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะจะช่วยให้การทำท่านี้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว ท่าพิลาทิสนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับปรุงท่าทาง (Posture) และลดอาการปวดหลังส่วนล่าง
เครดิตภาพ: www.freepik.com
หากใครปวดเอวจากการนั่งและต้องการลดขนาดเอวให้เล็กลง ท่า Crisscross ช่วยคุณได้! โดยเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการนอนหงาย ยกมือทั้งสองข้างผสานกันที่ท้ายทายพร้อมยกศีรษะ ก่อนยกขาขึ้นและงอเข่าตั้งฉากเข้าหาลำตัวเป็นท่าเตรียม จากนั้นเหยียดขาข้างหนึ่งพร้อมบิดเอวเบี่ยงตัวออกด้านข้างสลับซ้ายขวาร่วมกับหายใจให้เป็นจังหวะ 15 - 20 ครั้ง รวม 4 เซ็ต
ในฐานะโค้ชที่มีประสบการณ์ฝึกส่วนบุคคลมากกว่า 10 ปี ผมพบว่าท่า Crisscross เป็นท่าพิลาทิสที่มีประสิทธิภาพสูงในการบริหารกล้ามเนื้อ Core และลดอาการปวดเอว การเกร็งกล้ามเนื้อ Core ตลอดการเคลื่อนไหวและควบคุมลมหายใจให้สอดคล้องกัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างชัดเจน การทำซ้ำ 15-20 ครั้ง 4 เซ็ตนี้เป็นสูตรที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสร้างความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ Core
เครดิตภาพ: www.freepik.com
Side Bend เป็นท่าที่ไม่ง่ายและยากเกินไป แต่ได้ผลลัพธ์ดีไม่น้อยเลย เพียงนั่งด้วยสะโพกข้างใดข้างหนึ่งโดยเท้าแขนค้ำไว้ งอขาเล็กน้อยและชี้ปลายเท้าไปข้างหน้า จากนั้นให้หายใจเข้าแล้วใช้แขนดันตัวขึ้นสุดแรงพร้อมขาทั้งสองข้างที่เหยียดตึงและแนบชิดกัน ก่อนหายใจออกแล้วค่อย ๆ กลับสู่ท่าเดิม ให้ครบเซ็ตละ 15 วินาที โดยทำข้างละ 3 เซ็ต
จากประสบการณ์การสอนพิลาทิสมากกว่า 10 ปี ท่า Side Bend เป็นท่าที่ผมแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อด้านข้างลำตัว ซึ่งมักถูกละเลยในการออกกำลังกายทั่วไป การควบคุมจังหวะการหายใจให้สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการหายใจเข้าขณะดันตัวขึ้นจะช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ Core ได้อย่างเต็มที่ การทำท่านี้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยปรับปรุงท่าทางการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บบริเวณเอวได้
เครดิตภาพ: www.freepik.com
แอโรบิคสเต็ป (Aerobic Step) เป็นอุปกรณ์พิลาทิสถัดมาที่ฮอตฮิตอย่างมากสำหรับทำที่บ้านและในฟิตเนส อีกทั้งยังใช้กับการออกกำลังกายได้หลากหลายประเภท เช่น Aerobic, body-weight ซึ่งเพิ่มความเข้มข้นแก่การบริหารกล้ามเนื้อขาและก้นขณะก้าวขาขึ้นลง หรือจะเน้น workout กล้ามเนื้อส่วนบนแบบท่าเฉพาะส่วนก็ทำได้เช่นกัน
ผมขอแนะนำว่า Aerobic Step เป็นอุปกรณ์ที่คุ้มค่าที่สุดชิ้นหนึ่งสำหรับการออกกำลังกายที่บ้าน จากประสบการณ์การสอนกว่า 10 ปี ผมพบว่าการใช้ Aerobic Step ช่วยเพิ่มความท้าทายให้กับการออกกำลังกายได้หลากหลายระดับ โดยสามารถปรับความสูงได้ตั้งแต่ 4-12 นิ้ว เหมาะสำหรับทั้งผู้เริ่มต้นและผู้ที่ต้องการความท้าทายมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญแคลอรี่ได้มากกว่าการเดินหรือวิ่งถึง 30% เมื่อใช้ร่วมกับท่าพิลาทิสพื้นฐาน
เครดิตภาพ: www.freepik.com
อุปกรณ์พิลาทิสถัดมาที่เพิ่มความหลากหลายของกระบวนท่า คงไม่พ้นโบซุบอลอย่างแน่นอน Bosu ball หรือ Both Sides Utilized Ball เป็นลูกบอลผิวครึ่งวงกลมที่ช่วยเราทรงตัวได้ดียิ่งขึ้น ร่วมกับฐานที่แข็งแรงและแรงลมต้านจากการฟื้นคืนสภาพของลูกบอลที่นุ่มฟูและยืดหยุ่น จึงเป็นอุปกรณ์ออกกำลังกายที่บาลานซ์ความแข็งแรงและยืดหยุ่นไว้อย่างพอดี โดยคุณจะสามารถสลับข้างใช้ตามแต่ความเหมาะสมของท่า
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกและการแข่งขัน Physique Championship ผมพบว่า Bosu ball เป็นอุปกรณ์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับการพัฒนาความสมดุลและความมั่นคงของร่างกาย จากประสบการณ์การสอนมากกว่า 10 ปี การใช้ Bosu ball ในการฝึกพิลาทิสช่วยกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ทำหน้าที่รักษาสมดุล ซึ่งมักถูกละเลยในการฝึกทั่วไป นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มความท้าทายให้กับท่าพื้นฐาน ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักขึ้นและเผาผลาญแคลอรี่ได้มากขึ้น
เครดิตภาพ: https://www.prevention.com/fitness/workouts/g28252198/bosu-ball-exercises
ประเดิมด้วยท่า Lunges ที่ผ่านตาหลายคนจนคุ้นชิน ทว่าเสริมความแข็งแกร่งให้กับกล้ามเนื้อขาสี่ส่วนบั้นท้ายได้ดีงามไม่น้อยเลย เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการยืนอยู่ข้างบน Bosu ball ก่อนก้าวซ้ายลงสู่พื้นจนเกิดเป็นช่องว่างระหว่างขา 90 องศา จากนั้นให้ย่อขาลงในลักษณะงอเข่าทั้งซ้ายขวาไปตามจังหวะจนครบ 12 - 15 ครั้งก่อนสลับทำข้างละ 2 เซ็ต
จากประสบการณ์การฝึกผู้เล่นกว่า 1,000 คน ท่า Lunges บน Bosu ball เป็นหนึ่งในท่าที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา เทคนิคสำคัญคือการรักษาสมดุลขณะยืนบน Bosu ball โดยให้เกร็งกล้ามเนื้อ Core ตลอดการเคลื่อนไหว และควบคุมจังหวะการย่อตัวลงให้ช้าๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อได้อย่างเต็มที่ การทำ 12-15 ครั้งต่อเซ็ตเป็นจำนวนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสร้างความแข็งแรงและความอดทนของกล้ามเนื้อ
ถัดมาเป็นท่าที่เน้นกล้ามหน้าท้องด้านข้างเป็นตัวเคลื่อนไหวหลัก ซึ่งใช้ขากับสะโพกเป็นแรงช่วย ขั้นแรกให้วางสะโพกขวาไว้บนลูกบอลโดยขาทั้งสองข้างแนบเหยียดตึงติดกัน วางมือขวาไว้ที่พื้นคอยพยุงท่าและมือซ้ายจับศีรษะไว้ จากนั้นให้บีบไหล่ซ้าย ยกขาขึ้นเพื่อเริ่มขยับทำท่า Crunch ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ข้างละ 10 - 12 ครั้งแล้วสลับไปทำอีกข้าง
ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกที่ผ่านการแข่งขัน Physique Championship มาหลายรายการ ผมพบว่าท่า Oblique Crunches บน Bosu ball เป็นท่าที่มีประสิทธิภาพสูงในการกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านข้าง เทคนิคสำคัญคือการควบคุมจังหวะการเคลื่อนไหวให้ช้าและมั่นคง โดยเฉพาะช่วงที่ยกขาขึ้น ให้เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องตลอดการเคลื่อนไหว การทำ 10-12 ครั้งต่อข้างเป็นจำนวนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ Core และช่วยเผาผลาญไขมันหน้าท้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พิลาทิสเป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่เน้นเสริมสร้างแกนกลางลำตัวเป็นหลัก ซึ่งสอดผสานการเคลื่อนไหวและลมหายใจไว้เป็นจังหวะลงตัว อีกทั้งช่วยแก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรมที่คนยุคใหม่มักเผชิญอยู่ทุกวันได้ตรงจุด และคงดีไม่น้อยหากบริหารร่วมกับอุปกรณ์พิลาทิสอื่น ๆ ที่ปรับทรวดทรงสรีระและท่วงท่าได้อย่างแข็งแรงและสง่างาม ซึ่งอนาคตก็เป็นไปได้ที่เราจะได้เห็นเครื่องเล่นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยเสริมให้การเล่นพิลาทิสนั้นทรงประสิทธิภาพมากขึ้นต่อไป
ผู้ที่ฝึกพิลาทิสอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ Core และการแก้ปัญหาปวดหลังจากออฟฟิศซินโดรม การผสมผสานอุปกรณ์ต่างๆ เช่น Bosu ball และ Aerobic Step ช่วยเพิ่มความหลากหลายและความท้าทายให้กับการฝึก ทำให้ผู้ฝึกสามารถพัฒนาร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนครับ
Q : พิลาทิสเหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือไม่?
A : พิลาทิสเหมาะกับทุกระดับ เพราะสามารถปรับความเข้มข้นได้ตามความพร้อมของร่างกาย เริ่มต้นจากท่าพื้นฐานและค่อยๆ พัฒนาไปสู่ท่าที่ซับซ้อนขึ้น
Q : ควรเล่นพิลาทิสบ่อยแค่ไหน?
A : การฝึก 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 45-60 นาที ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยควรพักระหว่างวัน 1 วันเพื่อให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นตัว
Q : พิลาทิสช่วยลดน้ำหนักได้หรือไม่?
A : พิลาทิสช่วยเผาผลาญแคลอรี่และกระชับกล้ามเนื้อได้ แต่เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทำควบคู่กับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ
Q : ต้องมีอุปกรณ์ครบทุกชิ้นหรือไม่?
A : ไม่จำเป็น สามารถเริ่มต้นด้วยเสื่อโยคะอย่างเดียวก็ได้ แต่การมีอุปกรณ์เสริมจะช่วยเพิ่มความหลากหลายและความท้าทายให้กับการฝึก
Q: ผู้มีปัญหาหลังสามารถเล่นพิลาทิสได้หรือไม่?
A : จากประสบการณ์การสอน พิลาทิสเป็นการออกกำลังกายที่ปลอดภัยสำหรับผู้มีปัญหาหลัง แต่ควรปรึกษาแพทย์และเริ่มต้นกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อการฝึกที่ถูกต้องและปลอดภัย