ติดต่อเจ้าหน้าที่
เครื่องออกกำลังกาย อุปกรณ์ออกกําลังกาย อุปกรณ์ฟิตเนส
view-th view-en
ตะกร้า 0 ตะกร้าสินค้า

เซอร์กิตเทรนนิ่ง (Circuit Training) วิธีออกกำลังกายให้ครบทุกส่วนในเวลาอันสั้น

เซอร์กิตเทรนนิ่ง (Circuit Training) วิธีออกกำลังกายให้ครบทุกส่วนในเวลาอันสั้น

Circuit Training หรือ เซอร์กิตเทรนนิ่ง เป็นรูปแบบการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมในหมู่ผู้ที่ต้องการบริหารกล้ามเนื้อและเผาผลาญไขมันในเวลาเดียวกัน ด้วยรูปแบบการฝึกที่มีความหลากหลาย Circuit Training คืออะไร ทำไมถึงเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับคนรักสุขภาพ? บทความนี้จะตอบคำถามเหล่านี้ พร้อมแนะนำโปรแกรมการฝึกที่เหมาะสมสำหรับทุกคน

Circuit Training คืออะไร?

Circuit Training คือ การฝึกที่ประกอบไปด้วยท่าออกกำลังกายหลายท่าซึ่งจัดเรียงเป็นวงจร (Circuit) ทำต่อเนื่องโดยพักน้อยหรือไม่พักระหว่างท่า เน้นการพัฒนากล้ามเนื้อทุกส่วน เช่น ขา แกนกลาง และแขน ความหลากหลายของ Circuit Training ท่า เช่น Push-Up, Squats และ Plank ช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของร่างกาย

ประโยชน์ของ Circuit Training

  1. ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ ด้วยการทำต่อเนื่อง ร่างกายเข้าสู่โหมดเผาผลาญพลังงานได้อย่างรวดเร็ว
  2. เสริมสร้างความแข็งแรง ท่าฝึกต่างๆ เช่น Deadlift และ Dumbbell Rows ช่วยสร้างกล้ามเนื้อในส่วนที่ต้องการ
  3. พัฒนาสมรรถภาพหัวใจ การออกกำลังกายแบบวงจรช่วยเพิ่มความแข็งแรงของหัวใจและปอด
  4. ลดเวลาในการฝึก ใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีต่อวัน

ความยืดหยุ่นในการปรับใช้

ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือผู้มีประสบการณ์ Circuit Training โปรแกรม สามารถปรับให้เข้ากับระดับความฟิตของคุณได้ ตั้งแต่โปรแกรมสำหรับลดน้ำหนักไปจนถึงโปรแกรมเพิ่มกล้ามเนื้อ

 

รูปแบบของ Circuit Training

หนึ่งในเหตุผลที่ Circuit Training ได้รับความนิยมคือความยืดหยุ่นในการฝึกที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามเป้าหมายและความต้องการของผู้ฝึก โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก ได้แก่ Circuit Training แบบคาร์ดิโอ และ Circuit Training แบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

Circuit Training แบบคาร์ดิโอ

Circuit Training แบบคาร์ดิโอ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเผาผลาญแคลอรี่ เพิ่มความทนทานของหัวใจและปอด รวมถึงพัฒนาระบบไหลเวียนโลหิต ท่าที่ใช้ในรูปแบบนี้มักเน้นความเร็วและการเคลื่อนไหวต่อเนื่องที่ช่วยให้หัวใจเต้นอยู่ในโซนเผาผลาญไขมัน ตัวอย่างท่าฝึกที่นิยมมีดังนี้

  • Jumping Jacks
    การกระโดดแยกขาและยกแขนขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกันเป็นท่าง่ายๆ แต่ได้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยม ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญและเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจทันที
  • Mountain Climbers
    ท่านี้เริ่มจากท่าแพลงก์แล้วสลับดึงเข่าขึ้นมาที่หน้าอกเหมือนการปีนเขา ช่วยเสริมความทนทานของแกนกลางลำตัว เพิ่มการไหลเวียนโลหิต และเผาผลาญพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งสองท่านี้สามารถทำต่อเนื่องในเซ็ตเดียวเพื่อให้ร่างกายเผาผลาญไขมันและเพิ่มความฟิตได้ในเวลาอันสั้น


อุปกรณ์ออกกำลังกายที่เกี่ยวข้องกับบทความนี้



 

Circuit Training แบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ (Strength Training)

Circuit Training แบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความแข็งแรงและขนาดกล้ามเนื้อ ท่าที่เลือกใช้มักเน้นการใช้แรงต้านจากน้ำหนักตัวหรืออุปกรณ์ เช่น ดัมเบล หรือบาร์เบล ตัวอย่างท่าที่เหมาะสม ได้แก่

  • Push-Up
    การวิดพื้นเป็นท่าคลาสสิกที่เสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าอก แขน และแกนกลางลำตัว การควบคุมจังหวะทั้งตอนยกตัวขึ้นและลงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการฝึกได้ดี
  • Lunges
    การก้าวขาไปข้างหน้าสลับข้างพร้อมย่อตัวลง เป็นท่าที่เน้นสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อขาและสะโพก พร้อมทั้งช่วยเพิ่มสมดุลของร่างกาย

การฝึกในรูปแบบนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพัฒนากล้ามเนื้อเฉพาะส่วน เช่น ช่วงล่างหรือช่วงบน โดยสามารถปรับเพิ่มน้ำหนักหรือจำนวนครั้งในแต่ละเซ็ตได้

ทั้ง Circuit Training แบบคาร์ดิโอ และ แบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สามารถผสมผสานกันเพื่อสร้างโปรแกรมการฝึกที่สมบูรณ์แบบและตอบโจทย์เป้าหมายสุขภาพของคุณได้อย่างลงตัว

วิธีเริ่มต้น Circuit Training

การเริ่มต้น Circuit Training ไม่ซับซ้อน เพียงทำตามขั้นตอนดังนี้

  1. เลือกท่าที่เหมาะสม เช่น Squats, Push-Up, Plank
  2. ตั้งเวลาสำหรับแต่ละท่า เริ่มต้นที่ 30 วินาทีต่อท่า
  3. พักระหว่างเซ็ต ประมาณ 1 นาทีเพื่อฟื้นฟูพลังงาน
  4. เพิ่มระดับความเข้มข้น เมื่อร่างกายพร้อม เช่น เพิ่มจำนวนรอบจาก 2 เป็น 3 รอบ

ตัวอย่าง Circuit Training โปรแกรม

โปรแกรม Circuit Training สำหรับลดน้ำหนัก

  1. Jumping Jacks – 30 วินาที
  2. Push-Up – 30 วินาที
  3. Plank – 30 วินาที
  4. Mountain Climbers – 30 วินาที
    พัก 1 นาที และทำซ้ำ 3 รอบ

 

โปรแกรม Circuit Training สำหรับเสริมสร้างกล้ามเนื้อ

  1. Squats – 15 ครั้ง
  2. Dumbbell Rows – 12 ครั้ง
  3. Deadlift – 10 ครั้ง
  4. Push-Up – 15 ครั้ง
    พัก 1-2 นาที และทำซ้ำ 3 รอบ

 

ข้อควรระวังในการฝึก Circuit Training

แม้ Circuit Training จะเหมาะสำหรับทุกคน แต่ก็ควรระวังเรื่องการบาดเจ็บ

  • วอร์มอัพก่อนฝึก การเตรียมกล้ามเนื้อช่วยลดความเสี่ยง
  • หลีกเลี่ยงน้ำหนักที่หนักเกินไป โดยเฉพาะผู้เริ่มต้น
  • ฟังร่างกายตัวเอง หากรู้สึกเวียนศีรษะหรือเหนื่อยเกินไป ควรหยุดพักทันที

 

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Circuit Training

1.Circuit Training คืออะไร?

Circuit Training คือการออกกำลังกายที่เน้นการฝึกแบบต่อเนื่องในแต่ละสถานี (Station) โดยมีการเปลี่ยนท่าทางระหว่างสถานีอย่างรวดเร็ว ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรง ความทนทาน และเผาผลาญแคลอรี่ได้ในเวลาเดียวกัน

2.Circuit Training เหมาะกับใครบ้าง?

Circuit Training เหมาะสำหรับทุกคน ตั้งแต่มือใหม่จนถึงนักกีฬามืออาชีพ เนื่องจากสามารถปรับระดับความเข้มข้นของการฝึกให้เหมาะสมกับความสามารถและเป้าหมาย เช่น ลดน้ำหนัก เสริมสร้างกล้ามเนื้อ หรือเพิ่มความฟิต

3.Circuit Training มีท่าอะไรบ้าง?

ตัวอย่างท่าฝึกใน Circuit Training ได้แก่ Jumping Jacks เพิ่มความทนทานของหัวใจ, Push-Ups เสริมสร้างกล้ามเนื้อแขนและหน้าอก, Squats ช่วยกระชับกล้ามเนื้อขาและสะโพก, Plank เสริมความแข็งแรงของแกนกลาง

4.Circuit Training แตกต่างจาก HIIT อย่างไร?

แม้ทั้ง Circuit Training และ HIIT จะเน้นความต่อเนื่อง แต่ HIIT จะมุ่งเน้นการออกกำลังกายหนักสลับกับการพักสั้นๆ ในขณะที่ Circuit Training เป็นการเปลี่ยนท่าฝึกแบบครบทุกส่วนโดยไม่เน้นความหนักเท่ากับ HIIT

5.Circuit Training ใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง?

สามารถทำได้ทั้งแบบไม่มีอุปกรณ์ (ใช้น้ำหนักตัว) และแบบมีอุปกรณ์เสริม เช่น ดัมเบล ยางยืด ลูกบอลออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความท้าทาย

6.Circuit Training ช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่?

ช่วยลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเผาผลาญแคลอรี่สูงในเวลาสั้น และยังช่วยสร้างกล้ามเนื้อซึ่งเพิ่มอัตราการเผาผลาญในระยะยาว

7.Circuit Training ต้องฝึกกี่ครั้งต่อสัปดาห์?

แนะนำให้ฝึก 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 20-30 นาที เพื่อให้ร่างกายมีเวลาฟื้นตัวและพัฒนาความแข็งแรงอย่างเหมาะสม

8.Circuit Training สามารถทำที่บ้านได้หรือไม่?

สามารถทำที่บ้านได้ง่ายๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ เพียงจัดพื้นที่เล็กๆ ก็สามารถทำท่าพื้นฐานได้ เช่น Jumping Jacks, Push-ups, Squats

9.ควรพักนานแค่ไหนระหว่างเซ็ต?

สำหรับผู้เริ่มต้นควรพัก 1-2 นาทีระหว่างเซ็ต ส่วนผู้ที่มีประสบการณ์อาจลดเวลาพักลงเหลือ 30-60 วินาที เพื่อเพิ่มความเข้มข้นของการฝึก

10.มีข้อควรระวังอะไรบ้างในการทำ Circuit Training?

ควรวอร์มอัพให้พร้อมก่อนเริ่ม ทำท่าให้ถูกต้อง ไม่หักโหมจนเกินไป ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหยุดทันทีเมื่อรู้สึกผิดปกติ เช่น เวียนศีรษะ หรือหายใจลำบาก

บทสรุป

Circuit Training เป็นหนึ่งในรูปแบบการออกกำลังกายที่ตอบโจทย์ผู้คนทุกระดับ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นดูแลสุขภาพ หรือผู้ที่มีประสบการณ์และต้องการเพิ่มความท้าทายในการฝึก ด้วยการผสมผสานท่าที่หลากหลายตั้งแต่ คาร์ดิโอ ไปจนถึง Strength Training Circuit Training ไม่เพียงช่วยพัฒนาความแข็งแรงของร่างกาย แต่ยังเสริมสร้างความทนทานของหัวใจและปอด พร้อมทั้งเผาผลาญไขมันได้ในเวลาเดียวกัน

จุดเด่นของ Circuit Training อยู่ที่ความยืดหยุ่น สามารถปรับให้เหมาะสมกับเวลาที่คุณมีและเป้าหมายส่วนตัว เช่น การลดน้ำหนัก การเพิ่มความฟิต หรือการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ ยังเหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อยและต้องการออกกำลังกายให้ครบทุกส่วนในเวลาอันสั้น

การฝึก Circuit Training ไม่เพียงส่งผลดีต่อสุขภาพร่างกาย แต่ยังช่วยเสริมสร้างวินัยและความมุ่งมั่นในการออกกำลังกาย ความสม่ำเสมอในการฝึกจะช่วยให้คุณเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน ทั้งในด้านความแข็งแรง รูปร่างที่ดีขึ้น และสุขภาพโดยรวมที่ดีขึ้น

ไม่ว่าคุณจะเลือก Circuit Training แบบใด ทั้ง คาร์ดิโอ หรือ Strength Training สิ่งสำคัญคือการฟังร่างกายของคุณ ปรับโปรแกรมให้เหมาะสม และค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นตามความสามารถ การออกกำลังกายที่เหมาะสมจะทำให้คุณรู้สึกสนุก มีพลัง และมุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพต่อไปในระยะยาว

ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาวิธีการออกกำลังกายที่ครบเครื่อง Circuit Training คือคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกเป้าหมายและทุกไลฟ์สไตล์


บทความนี้เขียนโดย...


โค้ชปูแน่น

โค้ชปูแน่น (ปู จักรินทร์ บุญลาภ)


เป็น CEO และที่ปรึกษาด้านการพัฒนาทีมเทรนเนอร์ในฟิตเนสของตัวเองที่ Real Gym ซาฟารีเวิลด์ รวมถึงแบรนด์อาหารเสริม และที่ปรึกษาด้าน Training Quality ให้กับทีมเทรนเนอร์ของ Sport club และฟิตเนสชั้นนำ

โปรไฟล์โค้ชปูแน่น

บทความทั้งหมด